25
เมษายน-มิ
ถุ
นายน ๒๕๕๖
งานประณี
ตศิ
ลป์
อย่
าง
“เครื่
องมุ
ก”
หรื
อ
“ลายประดั
บมุ
ก”
นั้
น ถื
อเป็
นศิ
ลปะชั้
นสู
ง ซึ่
งแต่
เดิ
ม
การประดั
บมุ
กมั
กจะใช้
ในงานที
่
เกี
่
ยวเนื
่
องกั
บสถาบั
นพระมหากษั
ตริ
ย์
และข้
าวของเครื
่
องใช้
ทางศาสนา โดยหลั
กฐาน
ทางโบราณคดี
สั
นนิ
ษฐานว่
า “ตู้
พระไตรปิ
ฎก” ถื
อเป็
นงานประดั
บมุ
กที่
เก่
าแก่
ที่
สุ
ด และก็
น่
าจะเกิ
ดขึ
้
นในสมั
ย
กรุ
งศรี
อยุ
ธยา จากนั้
นเมื่
อมี
ผู้
พบเห็
นก็
นำ
�มาทำ
�ตาม ซึ่
งอาจจะเป็
นการนำ
�เอาเปลื
อกหอยมุ
กที่
ทำ
�เป็
นรู
ปหรื
อ
ชิ้
นเล็
กๆ ไปประดั
บกั
บภาชนะเครื
่
องใช้
ไม้
สอยหรื
อสิ
่
งของอย่
างง่
ายๆ เพื่
อตกแต่
งเครื่
องใช้
ของตนให้
สวยงาม
เนื
่
องจากเปลื
อกหอยมุ
กมี
สี
สั
นแวววาว ก็
เลยมี
การนำ
�ไปฉลุ
เป็
นลวดลายแล้
วประดั
บลงบนสิ
่
งของเครื
่
องใช้
ดั
งกล่
าว
กระทั่
งเกิ
ดความนิ
ยมและพั
ฒนาสื
บต่
อกั
นเรื่
อยมา
เครื่
องมุ
กงานศิ
ลป์
วิ
ถี
ถิ่
นไทยเรา
เปิ
ดต�
ำนานวิ
วั
ฒนาการเครื่
องมุ
กไทย
โดย “เครื่
องมุ
ก” นั้
น หากจะชี้
ให้
เห็
นกั
นชั
ดๆ นั่
น
ก็
คื
อ สิ่
งของเครื่
องใช้
ต่
างๆ ที่
ประดั
บด้
วยมุ
กนั่
นเอง เช่
น
ตะลุ่
มแว่
นฟ้
า ตะลุ่
ม บาตร กล่
องใส่
หมากพลู
กระโถน ขั
น
คนโท เจี
ยด เตี
ยบ ลุ้
ง โทน ระนาด โต๊
ะ และ ตู้
เป็
นต้
น
ซึ่
งจะเป็
นการฉลุ
ลวดลายแล้
วฝั
งลงบนพื้
นยางรั
ก และขั
ด
ให้
เห็
นผิ
วมุ
กเป็
นเงาแวววาวตั
ดกั
บสี
ดำ
�ของยางรั
ก อั
นเป็
น
การขั
บสี
สั
นที่
โดดเด่
นให้
ลวดลายสวยงามยิ
่
งขึ้
น โดยการ
ประดั
บมุ
กนั
้
นก็
ยั
งสามารถใช้
ประดั
บบนบานประตู
บานหน้
าต่
างพระอุ
โบสถ วิ
หาร มณฑป พระที่
นั่
ง ปราสาท
และพระพุ
ทธบาทได้
ด้
วย ที่
สำ
�คั
ญเครื่
องมุ
กของไทยนั้
น
เรี
ยกได้
ว่
ามี
ความละเอี
ยดลออประณี
ต และมี
กรรมวิ
ธี
การทำ
�
ที
่
แตกต่
างจากชาติ
อื
่
น ซึ
่
งมั
กจะฝั
งมุ
กลงไปบนไม้
เช่
น เครื
่
องมุ
ก
ของเวี
ยดนาม เกาหลี
และญี่
ปุ่
น เป็
นต้
น
ในการทำ
�เครื่
องมุ
กหรื
อการประดั
บมุ
กนั้
น จะมี
การทำ
�อยู่
ในหลายประเทศ แต่
สำ
�หรั
บในประเทศไทยเราแล้
ว
คาดว่
า อาจจะมี
การใช้
เปลื
อกหอยมุ
กประดั
บกั
บสิ
่
งของต่
างๆ
มาตั้
งแต่
พุ
ทธศตวรรษที่
๑๑-๑๖ แล้
ว เนื่
องจากมี
การค้
นพบ
ชิ้
นมุ
กติ
ดอยู่
บนชิ้
นส่
วนปู
นปั้
นประดั
บเจดี
ย์
ที่
เมื
องคู
บั
ว
ตำ
�บลคู
บั
ว อำ
�เภอเมื
อง จั
งหวั
ดราชบุ
รี
นอกจากนี
้
ก็
ยั
งพบว่
า
ช่
างไทยสมั
ยโบราณได้
ใช้
เปลื
อกหอยมุ
กประดั
บพระเนตร
พระพุ
ทธรู
ปมาก่
อน เช่
น พระพุ
ทธรู
ปเชี
ยงแสน และพระพุ
ทธ
รู
ปสุ
โขทั
ย เป็
นต้
น
ต่
อมาในสมั
ยอยุ
ธยาพุ
ทธศตวรรษที่
๒๐-๒๓
ก็
ได้
มี
การทำ
�ลายประดั
บมุ
กกั
นอย่
างแพร่
หลาย โดยทำ
�เป็
น
ลวดลายตกแต่
งบานประตู
โบสถ์
วิ
หาร เช่
น บานประตู
ประดั
บมุ
ก
พระอุ
โบสถวั
ดบรมพุ
ทธาราม อำ
�เภอพระนครศรี
อยุ
ธยา
จั
งหวั
ดพระนครศรี
อยุ
ธยา ในสมั
ยสมเด็
จพระเพทราชา
(พ.ศ.๒๑๓๑-พ.ศ.๒๒๔๕) โปรดเกล้
าฯ ให้
สร้
างขึ้
นเมื่
อ
พ.ศ.๒๒๒๖ บริ
เวณย่
านป่
าตอง ซึ่
งเคยเป็
นนิ
วาสถานเดิ
ม
ของพร ะองค์
ก่
อนขึ้
นครอง ร าชย์
และมั
ก เรี
ยกว่
า
“วั
ดกระเบื้
องเคลื
อบ” เพราะอาคารต่
างๆ มุ
งด้
วยกระเบื้
อง
เคลื
อบสี
เหลื
องนั่
นเอง
ส่
วนพระอุ
โบสถก็
จะมี
ฐานแอ่
นโค้
ง โดยมี
เจดี
ย์
ราย
๒ องค์
ตั
้
งเรี
ยงกั
นทางด้
านทิ
ศเหนื
อ และมี
วิ
หารตั
้
งอยู
่
ทางด้
าน
ข้
างของเจดี
ย์
ราย สมเด็
จพระเจ้
าอยู่
หั
วบรมโกศ โปรดเกล้
าฯ
ให้
บู
รณปฏิ
สั
งขรณ์
และทำ
�บานประตู
พระอุ
โบสถขนาดใหญ่
ประดั
บมุ
กอย่
างงดงาม ซึ่
งในปั
จจุ
บั
นบานประตู
มุ
กนี้
ก็
อยู่
ที่
หอพระมณเฑี
ยรธรรม ในวั
ดพระศรี
รั
ตนศาสดารามบานหนึ่
ง
ส่
วนอี
กบานนั้
นจะไปอยู่
ที่
วั
ดเบญจมบพิ
ตรดุ
สิ
ตวนาราม
เขตดุ
สิ
ต กรุ
งเทพฯ สำ
�หรั
บเราชาวไทยที
่
เคยแวะเวี
ยนไปที
่
นั
่
น
ก็
คงจะได้
สั
มผั
สกั
บความงดงามกั
นมาบ้
างแล้
ว