21
เมษายน-มิ
ถุ
นายน ๒๕๕๖
จำ
�นวนสายมากขึ้
น แต่
ไม่
เป็
นที่
นิ
ยมของศิ
ลปิ
น ดั
งนั้
นเปี๊
ยะ
สองสายจึ
งเป็
นเปี๊
ยะที่
ศิ
ลปิ
นนิ
ยมมากกว่
า เพราะสามารถ
ใช้
เทคนิ
คการดี
ดพิ
เศษที่
เรี
ยกว่
า “ป๊
อก” แต่
อย่
างไรก็
ตามถึ
ง
แม้
ว่
ามี
การเพิ่
มจำ
�นวนสายมากขึ้
น ถึ
งกระนั้
นเมื่
อเวลาดี
ด
บรรเลงเพลง ศิ
ลปิ
นเปี๊
ยะก็
ยั
งคงยึ
ดแนวบรรเลงสายเดี
ยว
หรื
อสองสายเป็
นหลั
ก และใช้
สายอื
่
น ที
่
ตั
้
งระดั
บเสี
ยงแตกต่
าง
เพิ่
มเติ
มให้
เป็
นสายประกอบ เพื่
อใช้
ปรุ
งแต่
งสี
สั
นของ
ทำ
�นองเพลงเท่
านั้
น
เสน่
ห์
ของเปี๊
ยะอยู่
ที่
ความสั่
นพลิ้
วของสายเปี๊
ยะ
ที่
เกิ
ดจากการดี
ด สร้
างคุ
ณค่
าต่
องานศิ
ลปะที่
เกิ
ดจากการ
สร้
างสรรค์
สื
บทอดมาหลายช่
วงอายุ
คน โดยระดั
บเสี
ยง
แต่
ละเสี
ยง ท่
วงทำ
�นองแต่
ละทำ
�นองของเพลงเปี๊
ยะที่
ดั
งลอด
กะโหล้
ง นิ้
วที่
ศิ
ลปิ
นเปี๊
ยะในอดี
ตได้
ปาดและป๊
อกสายเปี๊
ยะ
จนเสี
ยงสั่
นดั
งไพเราะเสมื
อนเด็
ง (ระฆั
ง) ที่
ก่
อให้
เสี
ยงเกิ
ด
ความสั่
นเครื
อ พร้
อมการเชื่
อมกั
บแผ่
นกล้
ามเนื้
อที่
หนั
ง
หน้
าอกของศิ
ลปิ
นผู้
ดี
ด บั
งคั
บขยั
บเปิ
ด-ปิ
ด และปรั
บแต่
ง
เสี
ยงที่
ดี
ดนั้
นตามต้
องการ อั
นเป็
นการถ่
ายโอนอารมณ์
และ
ความรู้
สึ
กออกมาเป็
นบทเพลงที่
กิ
นใจ ซึ่
งมี
ผู
้
อธิ
บายไว้
ว่
า
เครื่
องดนตรี
นี้
เหมาะสำ
�หรั
บศิ
ลปิ
นชายเท่
านั้
น แต่
ใน
ความเป็
นจริ
งแล้
วศิ
ลปิ
นหญิ
งก็
สามารถบรรเลงเปี๊
ยะได้
และเคยพบหลั
กฐานสตรี
๕ นาง ในภาพจำ
�หลั
กอารยธรรม
ทวารวดี
ที่
บ้
านคู
บั
ว จั
งหวั
ดราชบุ
รี
กำ
�ลั
งดี
ดเครื่
องดนตรี
ที่
มี
ลั
กษณะเดี
ยวกั
บเปี๊
ยะอยู่
ดั
งนั้
นเปี๊
ยะจึ
งเป็
นเครื่
องดนตรี
สำ
�หรั
บคนทุ
กเพศวั
ย เรี
ยกได้
ว่
าไม่
มี
ข้
อห้
ามหรื
อข้
อจำ
�กั
ด
ส่
วนเทคนิ
คการดี
ดเปี๊
ยะนั้
นก็
ขึ้
นอยู่
กั
บทั
กษะ
และความชำ
�นาญของศิ
ลปิ
น โดยระดั
บเสี
ยงที่
เกิ
ดจากการ
ดี
ดเปี
๊
ยะเบามาก ศิ
ลปิ
นจึ
งมี
เทคนิ
คในการบรรเลงแตกต่
างกั
น
เช่
นการ “ป๊
อกสาย” เพื่
อให้
เกิ
ดความดั
งกั
งวานสั่
นเครื
อเป็
น
ใยเสี
ยง การไหลเมื่
อเลื่
อนมื
อขึ้
นหรื
อลงของผู้
ดี
ดในการหา
ตำ
�แหน่
งเสี
ยงที่
ต้
องการ การจกสายเป็
นวิ
ธี
เขี่
ยสายให้
เกิ
ด
ระดั
บเสี
ยงต่
างๆ สายแต่
ละสายมี
ตำ
�แหน่
งที่
กำ
�หนดไว้
ว่
า
เป็
นสายจก สายป๊
ะ หรื
ออื่
นๆ ซึ่
งในการสร้
างเสี
ยงให้
ดำ
�เนิ
น
ไปตามทำ
�นองเพลงเปี๊
ยะที่
ศิ
ลปิ
นบรรเลงนั้
นต้
องใช้
พลั
ง
ใช้
สมาธิ
และเทคนิ
คเฉพาะตั
วสู
ง ดั
งนั้
นการเข้
าถึ
งสุ
นทรี
ยรส
ของเพลงเปี๊
ยะ ทั้
งศิ
ลปิ
นและผู้
ฟั
งจึ
งต้
องอยู่
ในบรรยากาศ
ที่
สั
มพั
นธ์
กั
น
บทเพลงที่
ศิ
ลปิ
นเปี๊
ยะนิ
ยมนำ
�มาบรรเลงเป็
น
เพลงที่
นิ
ยมทั่
วไปในวั
ฒนธรรมดนตรี
ล้
านนา บางเพลงมี
ทำ
�นองเก่
าและขาดการสื
บทอด แต่
อย่
างไรก็
ตามเพลงเปี๊
ยะ
ที
่
ยั
งคงเล่
นในปั
จจุ
บั
นนั
้
นก็
มี
หลายเพลง เช่
น เพลงปราสาทไหว
เพลงจกไหล เพลงซอพม่
า เพลงมวย เพลงลู
กกุ
ย เพลงฤๅษี
หลงถ้
ำ
� เพลงแหย่
งหลวง เพลงละม้
าย เพลงล่
องน่
าน และ
เพลงพื
้
นบ้
านอื
่
นๆ ส่
วนเพลงไทยในแบบแผนของภาคกลางนั
้
น
ก็
สามารถนำ
�มาดี
ดได้
เช่
น เพลงเต้
ยโขง เพลงเขมรไทรโยค
เพลงสร้
อยลำ
�ปาง เป็
นต้
น
ข้
อที่
น่
าสั
งเกตก็
คื
อ เพลงที่
เหมาะสมสำ
�หรั
บ
การดี
ดเปี๊
ยะนั้
น มั
กนิ
ยมเพลงที่
มี
ทำ
�นองไม่
ยาวมากนั
กและ
ออกแนวทำ
�นองหวาน หมายถึ
งเพลงที่
ค่
อนไปในแนวช้
า
ซึ่
งเอื้
อต่
อการบรรเลงของเปี๊
ยะ โดยโครงสร้
างของเพลง
มี
ลั
กษณะเฉพาะ คื
อ ทำ
�นองอาจวนซ้
ำ
�ไปซ้
ำ
�มา เพื
่
อเปิ
ดโอกาส
ให้
ศิ
ลปิ
นแสดงความสามารถในการใช้
วิ
ธี
ด้
น ซึ่
งเป็
นปฏิ
ภาณ
และประสบการณ์
ของศิ
ลปิ
นในการตกแต่
งทำ
�นองให้
ดำ
�เนิ
น
ไปตามแนวการบรรเลงเปี
๊
ยะ นอกจากการบรรเลงเพลงต่
างๆ
ดั
งกล่
าวแล้
ว เปี๊
ยะยั
งนำ
�ไปดี
ดร่
วมกั
บการขั
บลำ
�นำ
�ได้
อี
กด้
วย
บทเพลงสุ
้
มเสี
ยงและเทคนิ
ค
การเล่
นอั
นทรงเสน่
ห์