30
วั
ฒนธ รม
ค�
ำว่
า “กริ
ช” ในภาษาไทย น่
าจะถอดมาจาก “keris” หรื
อ 
มี
ดสั้
น ในภาษามลายู
 ที่
อาจผ่
านมาจากภาษาชวาโบราณ
อี
กทอด  เพราะจากข้
อมู
ลหลั
กฐานท�
ำให้
รั
บรู
ว่
ากริ
ชเริ่
มมี
ใช้
กั
นบนเกาะชวา แล้
วแพร่
หลายไปยั
งหมู
เกาะรายรอบ
ปั
จจุ
บั
นคื
อประเทศอิ
นโดนี
เซี
ย มาเลเซี
ย สิ
งคโปร์
 และบรู
ไน
ก่
อนจะผ่
านมาตามเส้
นทางการค้
าทางทะเล ไม่
ว่
าฟิ
ลิ
ปปิ
นส์
ตอนใต้
 ภาคใต้
ของไทย กั
มพู
ชา รวมถึ
งเวี
ยดนาม
สั
นนิ
ษฐานกั
นว่
า “กริ
ชมั
ชปาหิ
ต” น่
าจะเป็
นต้
นเค้
าของ 
กริ
ชทั้
งหลาย ด้
วยลั
กษณะของใบกริ
ชและหั
วกริ
ชท�
ำจาก 
โลหะเชื่
อมต่
อเป็
นชิ้
นเดี
ยว รวมทั้
งลวดลายศิ
ลปะแบบดั้
งเดิ
ม 
แหล่
งที่
มาคื
ออาณาจั
กรโบราณ “มั
ชปาหิ
ต” ในชวาตะวั
นออก 
ซึ่
งเจริ
ญรุ
งเรื
องในสมั
ยพุ
ทธศตวรรษที่
 ๑๙-๒๑ ภายใต้
ลั
ทธิ
ศาสนาฮิ
นดู
 โดยมี
ผู
แสดงความเห็
นไว้
ว่
า กริ
ชเป็
นอาวุ
ธที่
ใช้
ในการประกอบพิ
ธี
กรรมตามลั
ทธิ
ฮิ
นดู
มาก่
อน
หลั
งพุ
ทธศตวรรษที่
 ๒๑ หรื
อราว ๔๐๐ กว่
าปี
ที่
แล้
เป็
นต้
นมา กริ
ชได้
รั
บความนิ
ยมกว้
างขวาง ท�
ำให้
รู
ปแบบ
พั
ฒนาไปตามกระแสความนิ
ยมของแต่
ละถิ่
นแต่
ละเมื
อง 
จนมี
ลั
กษณะเด่
นเฉพาะตั
ว เช่
นแบบชวา แบบสุ
มาตรา 
แบบบู
กิ
ส เป็
นต้
น  ช่
วงเวลาดั
งกล่
าว ชาวชวาที่
เดิ
นทาง 
ผ่
านสุ
มาตรามายั
งเมื
องปั
ตตานี
 ได้
น�
ำกริ
ช ภู
มิ
ความรู
 และ
ความเชื่
อเรื่
องนี้
เข้
ามาด้
วย กริ
ชจึ
งแพร่
หลายอยู
ในพื้
นที่
ภาคใต้
ตอนล่
างของสยาม โดยเฉพาะตั้
งแต่
สงขลาลงไป
ต่
อมาจึ
งเริ่
มมี
ช่
างตี
กริ
ช ท�
ำหั
วกริ
ชและฝั
กกริ
ชขึ้
นใน
พื้
นที่
 และถ่
ายทอดวิ
ชาสื
บต่
อกั
นมา จนสามารถพั
ฒนากริ
รู
ปแบบของตนเองขึ้
น เรี
ยกว่
า “สกุ
ลช่
างปั
ตตานี
”  ผลงาน
อั
นโดดเด่
นของสกุ
ลช่
างปั
ตตานี
 อาจกล่
าวชั
ดเจนเป็
นสามส่
วน 
ดั
งนี้
ตากริ
 หรื
อใบกริ
ชแบบปั
ตตานี
มี
ทั้
งตาตรง และแบบ
ตาคด  ซึ่
งอาจมี
ตั้
งแต่
 ๕ - ๑๑ คด  มี
ลั
กษณะโคนใหญ่
เรี
ยวแหลมลงทางปลาย ใกล้
โคนข้
างหนึ่
งมี
เงี่
ยงยื่
นออกมา
คล้
ายงวงช้
าง เรี
ยกว่
า หู
 (หรื
องวง)  อี
กด้
านท�
ำเป็
นรอยหยั
คล้
ายฟั
นปลา เรี
ยกว่
า เครา  ใบกริ
ชสกุ
ลนี้
ค่
อนข้
างเด่
นใน
เรื่
องความยาว มี
สั
นตรงกลางเป็
นแนวยาวตลอดเล่
มทั้
งสอง
ด้
าน อี
กทั้
งหู
และเคราก็
ออกแบบประณี
ตงดงามผิ
ดกั
บสกุ
ช่
างอื่
น ๆ 
เนื้
อเหล็
กของกริ
ชปั
ตตานี
มี
ทั้
งชนิ
ดที่
มี
ลวดลายในเนื้
และไม่
มี
ลาย (หรื
อจั
บเค้
าลายไม่
ได้
)  การเกิ
ดลายบนเนื้
อเหล็
ก 
นั้
นทางโลหวิ
ทยาถื
อว่
าเนื้
อเหล็
กไม่
บริ
สุ
ทธิ์
  แต่
นั
กเลงกริ
ถื
อว่
าดี
 เพราะเป็
นข้
อพิ
สู
จน์
ว่
ามี
เหล็
กผสมผสานหลายชนิ
กริ
ชที่
ขลั
งย่
อมเกิ
ดจากการน�
ำเหล็
ก โลหะมงคลต่
าง ๆ 
มาหลอมรวมกั
น เมื่
อนานวั
นเข้
า โลหะเกิ
ดการกั
ดกร่
อน 
ไม่
เท่
ากั
น ท�
ำให้
เกิ
ดร่
องขึ้
นลายสวยงามแปลกตา 
หั
วกริ
 หรื
อด้
ามจั
บ จั
ดว่
าเป็
นส่
วนเด่
นที่
สุ
ดของกริ
เพราะเป็
นส่
วนที่
อยู
บนสุ
ด ช่
างจึ
งฝากฝี
มื
อแกะสลั
กขั
ดเงา
อย่
างประณี
ต  หั
วกริ
ชสกุ
ลช่
างปั
ตตานี
 เรี
ยกกั
นว่
ารู
ป 
“นกพั
งกะ” นิ
ยมกั
นตั้
งแต่
จั
งหวั
ดสงขลาตอนใต้
ลงไปจนถึ
รั
ฐกลั
นตั
นของมาเลเซี
ย  ทางชวาเรี
ยกหั
วกริ
ชนี้
ว่
า “วายั
ง”
หรื
อตั
วยั
กษ์
ในหนั
งตะลุ
งของชวาที่
เคยเข้
ามามี
อิ
ทธิ
พลใน
ศิ
ลปกรรมท้
องถิ่
นของเมื
องปั
ตตานี
ในอดี
ต  โดยภาพรวม 
ราว ๔๐๐ กว่
าปี
ที่
แล้
กริ
ชได้
รั
บความนิ
ยม
อย่
างกว้
างขวาง
ท�
ำให้
รู
ปแบบพั
ฒนาไป
ตามกระแสความนิ
ยมของ
แต่
ละถิ่
นแต่
ละเมื
อง
จนมี
ลั
กษณะเด่
นเฉพาะตั
เช่
นแบบชวา แบบสุ
มาตรา 
แบบบู
กิ
ส เป็
นต้
1...,22,23,24,25,26,27,28,29,30,31 33,34,35,36,37,38,39,40,41,42,...124