8
การเริ่
มต้
นของเพลงร้
องพื้
นบ้
านมิ
ได้
มี
เฉพาะ
ในสั
งคมและวั
ฒนธรรมไทยเท่
านั้
น เพราะชนทุ
กชาติ
ภาษา
ต่
างก็
มี
การสร้
างสรรค์
กิ
จกรรมทางวั
ฒนธรรมของตนเอง
ส�
ำหรั
บประเทศไทยนั้
น รากฐานทางสั
งคมในอดี
ตมี
ความเกี่
ยวข้
องกั
บการประกอบเกษตรกรรม จุ
ดก่
อเกิ
ดเพลงร้
อง
พื้
นบ้
านจึ
งมี
ต้
นเค้
ามาจากสั
งคมในระดั
บพื้
นฐาน และมี
การ
สื
บทอดต่
อเนื่
องกั
นมา โดยการใช้
วิ
ธี
จดจ�
ำอย่
างมุ
ขปาฐะ คื
การบอก พู
ด ต่
อปากกั
นมาในท้
องถิ่
น ซึ่
งในความเป็
นจริ
งแล้
เยาวชนตั้
งแต่
ยั
งเป็
นเด็
กต่
างก็
ได้
รั
บรู
รั
บฟั
ง ได้
เห็
น และ
ซึ
มซั
บเพลงร้
องพื้
นบ้
านที่
เกิ
ดขึ้
นในสั
งคมของตนเองอย่
าง
ต่
อเนื่
องและยาวนาน
โดยเพลงร้
องของผู
เยาว์
วั
ยนั้
น ก็
จะมี
เพลงร้
องเล่
ที่
ช่
วยในการฝึ
กสมองลองปั
ญญาในกลุ
มและวั
ยของตน เช่
เพลงร้
องที่
มุ
งสนุ
กสนานหยอกล้
อกั
น เห็
นได้
จากการเล่
นจ�้
ำจี้
ของภาคกลาง ส่
วนภาคอื่
นๆ ก็
จะมี
ชื่
อเรี
ยก รวมถึ
งการมี
ค�
ำร้
อง
และวิ
ธี
การเล่
นที่
แตกต่
างกั
นไป ส่
วนบทร้
องก็
จะมี
หลายบท
เช่
น ภาคเหนื
อเรี
ยกว่
า “ปะเปิ
มใบพลู
” ภาคอี
สานเรี
ยก “จ�้
ำมู
มี่
ภาคใต้
เรี
ยกว่
า “จุ้
มจี้
” โดยจะมี
บทร้
องดั
งนี้
“จ้ำ
�จี้
มะเขื
อเปราะ กะเทาะหน้
าแว่
พายเรื
ออกแอ่
กระแท่
นต้
นกุ่
สาวสาวหนุ่
มหนุ่
อาบน้ำ
�ท่
าไหน
อาบน้ำ
�ท่
าวั
เอาแป้
งที่
ไหนผั
เอากระจกที
ไหนส่
อง
เยี
ยมๆ มองๆ นกขุ
นทองร้
องวู
ภาคเหนื
อ มี
คำ
�ร้
อง ว่
ภาคกลาง มี
คำ
�ร้
องว่
“ปะเปิ้
มใบพล คนใดมาจู
เอากู
ออกก่
อน”
หรื
“จ้ำ
�จี้
จ้ำ
�อวด
ลู
กมึ
งไปบวช
สึ
กออกมาเฝี
ยะ
อี
หล้
าท้
องป่
อง”
เป็
นต้
ภาคใต้
มี
คำ
�ร้
องว่
“จ้
�มู
มี
มู
หมก มู
มน
หั
กขาคนใส่
หน้
านกก๊
หน้
าลิ
ง หน้
าลาย หน้
าผี
พราย หน้
าหยิ
บ หน้
าหย่
อม ผอมแป๊
ะ”
“จุ
มจี
จุ
มจวด จุ
มหนวดแมงวั
น แมงภู
จั
บจั
นทน์
แมงวั
นจั
บผลุ
ฉี
กใบตองมารองข้
าวแขก
น้
�เต้
าแตกแหกดั
งโผลง ช้
างเข้
าโรง
อี
โมงเฉ้
ง แม่
ไก่
ฟั
กร้
องก๊
อกก๊
อก ทิ
มคางคก ยกออกยกออก”
ซึ่
งเพลงร้
องของเด็
กๆ ก็
จะมี
อี
กจำ
�นวนมาก เช่
มอญซ่
อนผ้
า รี
รี
ข้
าวสาร งู
กิ
นหาง หรื
อแม้
แต่
การร้
องของ
ผู้
ใหญ่
ที่
ร้
องให้
เด็
กฟั
ง ทั้
งที่
ยั
งไม่
เข้
าใจภาษาและความหมาย
บางบทก็
เป็
นการร้
องหยอกล้
อ หรื
อการละเล่
นของเด็
กๆ
ลั
กษณะเช่
นนี้
แสดงออกถึ
งการเรี
ยนรู้
ความเป็
นเจ้
าบทเจ้
กลอน และมี
คำ
�ร้
องหลายๆ บท เช่
โยกเยกเอย น้ำ
�ท่
วมเมฆ กระต่
ายลอยคอ
หมาหางงอ กอดคอโยกเยก
ผมเปี
ยมาเลี
ยใบตอง พระตี
กลองตะลุ่
มตุ้
มเม้
ผมแกละ
กระแดะใส่
เกื
อก
หั
วล้
านตาเหลื
อก ปอกกล้
วยไม่
เป็
รี
รี
ข้
าวสาร สองทะนานข้
าวเปลื
อก เลื
อกท้
องใบลาน
คดข้
าวใส่
จาน พานเอาคนข้
างหลั
งไว้
ส่
วนเพลงร้
องที่
จั
ดเป็
นเพลงร้
องพื้
นบ้
านอี
ลั
กษณะหนึ่
งก็
คื
อ “เพลงกล่
อมเด็
กหรื
อเพลงกล่
อมลู
ก”
ซึ่
งเพลงลั
กษณะนี้
จะเป็
นเพลงที่
ผู้
ใหญ่
ร้
องให้
เด็
กฟั
ง ร้
องให้
เด็
กหลั
บอย่
างอบอุ่
นและมี
ความสุ
ข โดยเนื้
อร้
องง่
ายๆ
ลั
กษณะคำ
�ประพั
นธ์
ไม่
ตายตั
ว มี
จำ
�นวนคำ
�และสั
มผั
ไม่
เคร่
งครั
ด ซึ่
งเพลงแนวนี้
ก็
จะมี
ชื่
อเรี
ยกแตกต่
างไปตาม
แต่
ละภู
มิ
ภาค และภาษาถิ
น เช่
น เพลงเห่
กล่
อม เพลงอื
อจาจา
หรื
อ อื่
อชาชา เพลงชาน้
อง เพลงร้
องเรื
อ เป็
นต้
ภาคอี
สาน มี
คำ
�ร้
องว่
การเริ่
มต้
นเพลงร้
องพื้
นบ้
าน
1,2,3,4,5,6,7,8,9 11,12,13,14,15,16,17,18,19,20,...124