5
เมษายน-มิ
ถุ
นายน ๒๕๕๖
“จ้ำ
�จี้
มะเขื
อเปราะ กะเทาะหน้
าแว่
น พายเรื
อ
อกแอ่
น…”
แว่
วเสี
ยงเพลงที
่
เด็
กๆ ร้
องเล่
นกั
นเมื
่
อครั
้
งเก่
าก่
อน
หวนให้
นึ
กถึ
งปั
จจุ
บั
นขณะที่
โลกก้
าวรุ
ดหน้
าไปไกล
จนสิ
่
งต่
างๆ มากมายถู
กบรรจุ
เอาไว้
แค่
ในคอมพิ
วเตอร์
แบบ
พกพา เราถู
กถาโถมโจมกระหน่
ำ
�ด้
วยวั
ฒนธรรมข้
ามชาติ
แต่
นั่
นก็
ไม่
อาจทำ
�ให้
เราหลงลื
มรากเหง้
าความเป็
นมาของตน
ด้
วยโครงสร้
างของวั
ฒนธรรมที่
ดำ
�เนิ
นมาแต่
ครั้
งอดี
ต
เราซึ่
งอยู่
ในฐานะสั
งคมภาคการเกษตร มี
ความผู
กพั
น
ใกล้
ชิ
ดกั
บสิ่
งแวดล้
อมธรรมชาติ
อี
กทั้
งประชาชนพลเมื
อง
ต่
างก็
มี
ฐานความเชื่
อเกี่
ยวกั
บอำ
�นาจเหนื
อธรรมชาติ
ซึ่
งโดย
ภาพรวมแล้
วประชาชนมากกว่
าร้
อยละ ๘๐ นั้
นนั
บถื
อ
พระพุ
ทธศาสนา จึ
งส่
งผลให้
ขนบธรรมเนี
ยมประเพณี
และ
งานศิ
ลปกรรมจำ
�นวนมากได้
รั
บอิ
ทธิ
พลจากพระพุ
ทธศาสนา
โดยเฉพาะฐานความคิ
ดความเชื่
อที่
เป็
นปั
จจั
ยนำ
�ไป
สู่
การสร้
างสรรค์
สิ่
งต่
างๆ ให้
สอดคล้
องกั
บวิ
ถี
ชี
วิ
ตและ
วั
ฒนธรรม ให้
ก้
าวเดิ
นไปสู่
การสร้
างลั
กษณะเฉพาะของ
ความเป็
นพื้
นถิ่
น ซึ่
งสิ่
งหนึ่
งที่
โดดเด่
นด้
านการสร้
างสรรค์
ขึ้
น
จากสภาพสั
งคมไทย นั่
นก็
คื
อ
“เพลงร้
องพื้
นบ้
าน”
1,2,3,4,5,6
8,9,10,11,12,13,14,15,16,17,...124