97
กรกฎาคม-กั
นยายน ๒๕๕๖
เมื่
อสายเลื
อดใหม่
เหล่
านี้
มี
จำ
�นวนมากขึ้
น ก็
สร้
าง
วั
ฒนธรรมรู
ปแบบใหม่
ที่
แตกต่
างไปจากวั
ฒนธรรมดั้
งเดิ
ม
ของบิ
ดามารดา โดยนำ
�ส่
วนดี
ระหว่
างวั
ฒนธรรมจี
นกั
บมลายู
มารวมกั
น เมื
่
อพวกเขาอพยพไปตั
้
งถิ
่
นฐานตามเมื
องท่
าต่
างๆ
ในอาณาบริ
เวณนี้
ก็
ได้
นำ
�เอาวั
ฒนธรรมของตนแพร่
กระจาย
ไปด้
วย กลุ่
มคนและวั
ฒนธรรมใหม่
นี้
จึ
งถู
กเรี
ยกรวมๆ ว่
า
“ชาวจี
นช่
องแคบ” (Straits Chinese) ซึ
่
งเป็
นกลุ
่
มที
่
มี
ความสำ
�คั
ญ
และโดดเด่
นในช่
วงที่
อั
งกฤษเข้
ามาปกครองบริ
เวณช่
องแคบ
มะละกา ได้
แก่
มะละกา ปี
นั
ง และสิ
งคโปร์
ซึ่
งอยู่
ทางฝั่
ง
ตะวั
นตกและทางใต้
ของคาบสมุ
ทรมลายู
ชุ
มชนบ้
าบ๋
า-ย่
าหยา
เป็
นคนเชื้
อสายจี
นที่
เก่
าแก่
ที่
สุ
ดกลุ่
มหนึ่
งในท้
องถิ่
นนี้
ทั้
งชาวมาเลย์
และชาวอิ
นโดนี
เซี
ย ใช้
คำ
�ว่
า
เปอรานากั
นในความหมายว่
า “ลู
กหลาน” หรื
อ “ผู้
สื
บสกุ
ล”
โดยไม่
คำ
�นึ
งถึ
งชาติ
พั
นธุ์
ของการสื
บสกุ
ล นอกเสี
ยจากว่
า
ผู
้
นั
้
นต้
องการจะนิ
ยามตนเองว่
าอย่
างไรในภายหลั
ง เช่
น จิ
นา
(Cina = จี
น) เบลั
นดา (Belanda = ดั
ทช์
) หรื
อ เจปั
ง / เจปุ
น
(Jepang/Jepun = ญี่
ปุ่
น) เป็
นต้
น
วั
ฒนธรรมของชาวเปอรานากั
น นอกจาก
จะเป็
นการผสมผสานวั
ฒนธรรมหลั
กคื
อมาเลย์
และจี
น
อย่
างงดงามลงตั
วแล้
ว บางอย่
างก็
ได้
รั
บอิ
ทธิ
พลมาจาก
วั
ฒนธรรมชวา บาตั
ก สยาม และยุ
โรป (โดยเฉพาะอย่
างยิ่
ง
จากอั
งกฤษ)
หลั
งจากการล่
มสลายของระบบสุ
ลต่
านมะละกา
โดยการยึ
ดครองของโปรตุ
เกสเมื่
อ ค.ศ.๑๕๑๑ เปอรานากั
น
บางส่
วนได้
อพยพไปตั้
งถิ่
นชุ
มชนใหม่
ในส่
วนที่
ต่
างๆ ใน
คาบสมุ
ทรมลายู
รวมทั
้
งในเกาะชวาและสุ
มาตราของ
อิ
นโดนี
เซี
ย รั
ฐเคดาห์
ตรั
งกานู
และกลั
นตั
นในมาเลเซี
ย และ
ทางชายฝั่
งตะวั
นตกของเกาะบอเนี
ยว แต่
เปอรานากั
นเหล่
า
นี้
ไม่
ได้
ดำ
�รงอั
ตลั
กษณ์
ทางวั
ฒนธรรมของบ้
าบ๋
า-ย่
าหยาไว้
เท่
าที่
ควร ในขณะที่
ชุ
มชนบ้
าบ๋
า-ย่
าหยาบริ
เวณช่
องแคบซึ่
ง
ได้
ตั้
งหลั
กแหล่
งอย่
างมั่
นคงแล้
วในช่
วงที่
อั
งกฤษยึ
ดมะละกา
ได้
ใน ค.ศ.๑๘๔๒ พร้
อมทั้
งตั้
งรั
ฐช่
องแคบขึ้
น (รวมทั้
งสิ
งคโปร์
และปี
นั
ง) ยั
งคงรั
กษาวั
ฒนธรรมแบบผสมผสานไว้
อย่
าง
เหนี
ยวแน่
น
มะละกา : จุ
ดเริ่
มต้
นของชาวเปอรานากั
น
มะละกาตั้
งอยู่
บนชายฝั่
งตะวั
นตกเฉี
ยงใต้
ของ
คาบสมุ
ทรมลายู
เดิ
มเป็
นเพี
ยงหมู่
บ้
านชาวประมงเล็
กๆ แต่
ภายใต้
การปกครองของสุ
ลต่
านมั
นซู
ร์
ชาห์
(Mansur Shah
ค.ศ.๑๔๕๙-๑๔๗๗) มะละกาก็
ได้
ก้
าวขึ้
นสู่
ยุ
คทอง กลาย
เป็
นหนึ่
งในท่
าเรื
อที่
สำ
�คั
ญและมั่
งคั่
งที่
สุ
ดแห่
งหนึ่
งของ
ภู
มิ
ภาค เนื่
องจากเป็
นเมื
องอยู่
ติ
ดกั
บช่
องแคบมะละกา
ที
่
สามารถติ
ดต่
อกั
บมหาสมุ
ทรอิ
นเดี
ยได้
ส่
วนทางด้
านตะวั
นตก
และกั
บทะเลจี
นใต้
ทางด้
านตะวั
นออก และบริ
เวณช่
องแคบ
ก็
เป็
นตำ
�แหน่
งที่
ปราศจากภั
ยธรรมชาติ
จากท้
องทะเล นั
บว่
า
เป็
นชั
ยภู
มิ
ของเมื
องท่
าการพาณิ
ชย์
ที่
ดี
มะละกาจึ
งอยู่
ใน
ความสนใจของพ่
อค้
าจากภู
มิ
ภาคอื
่
นๆ ทั
้
งจากเอเชี
ยตะวั
นออก
เฉี
ยงใต้
จี
น อิ
นเดี
ย ตะวั
นออกกลาง และตะวั
นตก
เป็
นที่
ยอมรั
บกั
นโดยทั่
วไปว่
า บ้
าบ๋
าของแท้
ดั้
งเดิ
ม
คื
อบุ
ตรชายที่
เกิ
ดจากการแต่
งงานกั
บพ่
อค้
าและลู
กเรื
อ
จากเมื
องทางตะวั
นออกเฉี
ยงใต้
จากจี
น ซึ่
งลั
กษณะแบบนี้
ดำ
�เนิ
นอยู่
เป็
นเวลานานหลายชั่
วคน ส่
วนย่
าหยารุ่
นแรกๆ
สุ
ดน่
าจะเป็
นลู
กผสมระหว่
างชาวจี
นกั
บหญิ
งพื้
นเมื
อง
จากคาบสมุ
ทรมลายู
รวมทั้
งชวา สุ
มาตรา พม่
า และไทย
ั