18
ประวั
ติ
ความเป็
นมาของดี
เกร์
ฮู
ลู
มี
ผู้
อธิ
บายไว้
หลายสำ
�นวน เช่
น ดี
เกร์
(Dikir) มี
รากศั
พท์
มาจากคำ
�ว่
า (Zikir)
เป็
นภาษาอาหรั
บ มี
ความหมายถึ
งการอ่
านทำ
�นองเสนาะ
ส่
วนคำ
�ว่
าฮู
ลู
มี
ความหมายว่
า ใต้
หรื
อทิ
ศใต้
จากความ
ดั
งกล่
าวนี้
คำ
�ว่
าดี
เกร์
ฮู
ลู
จึ
งหมายถึ
งการขั
บร้
องบทกลอน
เป็
นทำ
�นองเสนาะซึ่
งมี
ถิ่
นที่
เกิ
ดอยู่
ทางทิ
ศใต้
อี
กสำ
�นวนหนึ่
ง
อธิ
บายว่
าดี
เกร์
ฮู
ลู
เกิ
ดขึ้
นครั้
งแรกในชุ
มชนอำ
�เภอรามั
น
จั
งหวั
ดยะลา ข้
อสั
งเกตคื
อชาวปั
ตตานี
เรี
ยกชาวรามั
นว่
า
คนฮู
ลู
หรื
อผู้
ที่
อยู่
ในทิ
ศฮู
ลู
(ทิ
ศใต้
) ศิ
ลปะการขั
บร้
องดี
เกร์
ฮู
ลู
นี้
ชาวมาเลเซี
ยเรี
ยกว่
าดี
เกร์
ปารั
ต มี
ความหมายว่
า ดี
เกร์
ของชาวเหนื
อพิ
จารณาทางภู
มิ
ศาสตร์
นั
บว่
ามี
ความสอดคล้
องกั
น
เพราะพื้
นที่
ของจั
งหวั
ดยะลาและจั
งหวั
ดปั
ตตานี
ซึ่
งเป็
น
ถิ่
นที่
ศิ
ลปะเพลงร้
องดี
เกร์
ฮู
ลู
เกิ
ดขึ้
น อยู่
ตอนเหนื
อของ
ประเทศมาเลเซี
ย
รองศาสตราจารย์
ประพนธ์
เรื
องณรงค์
นั
กวิ
ชาการ
ชาวตรั
ง ท่
านผ่
านประสบการณ์
ทางวั
ฒนธรรมภาคใต้
มาตลอดชี
วิ
ต เป็
นอาจารย์
มหาวิ
ทยาลั
ยสงขลานคริ
นทร์
วิ
ทยาเขตรู
สมี
แล จั
งหวั
ดปั
ตตานี
ก่
อนที่
จะย้
ายไปเป็
น
อาจารย์
มหาวิ
ทยาลั
ยรามคำ
�แหงจนเกษี
ยณอายุ
ราชการ
ท่
านได้
อธิ
บายความหมายของ “ดี
เกร์
ฮู
ลู
” ในสารานุ
กรม
วั
ฒนธรรมไทย ภาคใต้
เล่
มที่
๑๔ โดยอ้
างอิ
งพจนานุ
กรม
กามุ
ส เดอวั
น (Kamus Dewan) ว่
า ดี
เกร์
มี
๒ ความหมายคื
อ
ความหมายแรกหมายถึ
งเพลงสวดสรรเสริ
ญพระเจ้
า ปกติ
ใช้
ขั
บร้
องเนื่
องในเทศกาลวั
นกำ
�เนิ
ดพระนบี
(วั
นเมาลิ
ด)
เรี
ยกการสวดนี้
ว่
า ดี
เกร์
เมาลิ
ด อี
กความหมายหนึ่
ง
หมายถึ
งกลอนเพลงที่
นิ
ยมเล่
นกั
นเป็
นกลุ่
มหรื
อเป็
นคณะ
เรี
ยกว่
า ดี
เกร์
ฮู
ลู
และให้
ข้
อมู
ลเพิ
่
มเติ
มแตกต่
างไปจาก
ที
่
กล่
าวข้
างต้
นว่
า ดี
เกร์
ฮู
ลู
เกิ
ดขึ้
นครั้
งแรกในท้
องที่
อำ
�เภอมายอ จั
งหวั
ดปั
ตตานี
และอำ
�เภอเบตง จั
งหวั
ดยะลา
จากคำ
�อธิ
บายแม้
รายละเอี
ยดแตกต่
างกั
น แต่
ดี
เกร์
ฮู
ลู
ก็
มี
ประวั
ติ
เกี่
ยวข้
องกั
บจั
งหวั
ดยะลาและปั
ตตานี
องค์
ประกอบของดี
เกร์
ฮู
ลู
มี
๓ ส่
วน คื
อ ส่
วนแรก
เป็
นนั
กเพลง ทำ
�หน้
าที่
แม่
เพลงขั
บร้
องดำ
�เนิ
นเพลง
จำ
�นวน ๒ คน หรื
อมากกว่
า หรื
ออาจแบ่
งเป็
นช่
วงๆ ก็
ได้
ส่
วนที่
๒ เป็
นนั
กดนตรี
ทำ
�หน้
าที่
บรรเลงเครื่
องจั
งหวะต่
างๆ
เช่
น กลองขึ้
นหนั
งหน้
าเดี
ยว จำ
�นวน ๒ ใบ ใบใหญ่
เรี
ยกว่
า
บานอ - อี
บู
ใบเล็
กเรี
ยกว่
าบานอ - อะเนาะ บานอนี
้
บางแห่
ง
เรี
ยกว่
ารำ
�มะนา มี
เครื
่
องดนตรี
ประเภทฆ้
องขนาดใหญ่
และเล็
ก
ลั
กษณะเดี
ยวกั
บฆ้
องโหม่
ง เรี
ยกว่
าฆง จำ
�นวน ๑ – ๒ ลู
ก
แขวนกั
บคานไม้
หรื
อกระจั
ง ลู
กแซ็
ก จำ
�นวน ๑ – ๒ คู
่
ทั
มบู
ริ
น
กรั
บ ฉาบเล็
ก บางคณะอาจเพิ่
มเครื่
องดนตรี
อื่
นๆ อี
ก
1...,10,11,12,13,14,15,16,17,18,19
21,22,23,24,25,26,27,28,29,30,...124