52
บ้
านเรื
อนที
่
อยู
่
อาศั
ย
เฮื
อนมรดกเชี
ยงม่
วน
เป็
นบ้
านไม้
ที่
เก่
าแก่
ในหลวงพระบาง ซึ่
งลั
กษณะการสร้
างบ้
านนั้
นได้
รั
บอิ
ทธิ
พล
จากฝรั่
งเศสในยุ
คของการล่
าอาณานิ
คม แสดงถึ
งเอกลั
กษณ์
ที่
โดดเด่
นในสมั
ยนั้
นได้
เป็
นอย่
างดี
ปั
จจุ
บั
นเป็
นอาคาร
อนุ
รั
กษ์
ขององค์
การยู
เนสโก กล่
าวกั
นว่
า ดั้
งเดิ
มเป็
นของ
พระยาหมื่
นนา ขุ
นนางในราชสำ
�นั
กล้
านช้
าง ในสมั
ยหนึ่
ง
ขุ
นนาง และคหบดี
เมื
องหลวงพระบางนิ
ยมปลู
กเรื
อนตึ
ก
แบบฝรั่
ง ทำ
�ให้
อาคารไม้
แบบเดิ
มถู
กรื้
อไปมาก ที่
เหลื
อสภาพ
สมบู
รณ์
อยู่
ก็
เฉพาะเรื
อนหลั
งนี้
เท่
านั้
น นั
บเป็
นสั
ญลั
กษณ์
ของการเป็
นมรดกโลกที่
องค์
การยู
เนสโกได้
อนุ
รั
กษ์
ไว้
เป็
น
แบบอย่
างของบ้
านลาวยุ
คโบราณ
นอกจากบ้
านเรื
อนของประชาชนแล้
ว สิ
่
งปลู
กสร้
าง
ที่
เชื่
อมโยงกั
บความเชื่
อทางศาสนาก็
มี
ความสวยงามไม่
น้
อย
อย่
างเช่
น
“พระธาตุ
หลวง”
ซึ่
งบรรจุ
พระบรมสารี
ริ
กธาตุ
ของ
พระพุ
ทธเจ้
า ที่
ได้
รั
บพระราชทานมาจากพระเจ้
าอโศก
มหาราชแห่
งอิ
นเดี
ย ที่
นี่
จึ
งเสมื
อนเป็
นศู
นย์
รวมทางจิ
ตใจของ
ชาวเวี
ยงจั
นทน์
“หอพระแก้
ว”
เป็
นวั
ดที
่
พระแก้
วมรกตเคย
ประดิ
ษฐานอยู่
ก่
อนที่
สมเด็
จพระเจ้
าตากสิ
นมหาราชจะ
อั
ญเชิ
ญมาประดิ
ษฐานที่
กรุ
งเทพฯ ปั
จจุ
บั
นที่
นี่
ได้
เปิ
ดเป็
น
พิ
พิ
ธภั
ณฑ์
ให้
เข้
าเยี่
ยมชม
“ประตู
ชั
ย”
หรื
อ
“ปะตู
ไซ”
เป็
น
อนุ
สรณ์
เพื่
อรำ
�ลึ
กถึ
งชาวลาวที่
เสี
ยชี
วิ
ตในสงคราม โดยสร้
าง
ขึ้
นตามแบบประตู
ชั
ยในฝรั่
งเศส แต่
ได้
มี
การผสมผสานศิ
ลปะ
แบบลาวเข้
าไปด้
วย
“วั
ดเชี
ยงทอง”
ซึ่
งเป็
นวั
ดที่
สร้
างขึ้
นใน
สมั
ยของพระเจ้
าไชยเชษฐาธิ
ราช ได้
รั
บการยกย่
องว่
าเป็
น
วั
ดศิ
ลปะล้
านช้
าง ที่
งดงามที่
สุ
ด
ศิ
ลปะการแสดง การละเล่
น
นาฏศิ
ลป์
ในลาวได้
รั
บอิ
ทธิ
พลจากประเทศใกล้
เคี
ยง
ตั้
งแต่
พุ
ทธศตวรรษที่
๒๐ ทั้
งเรื่
องรามายณะและชาดกต่
างๆ
เนื่
องจากลาวเป็
นประเทศขนาดเล็
ก และในช่
วงพุ
ทธศตวรรษ
ที่
๒๔ - ๒๕ ลาวก็
อยู่
ใต้
อำ
�นาจการปกครองของประเทศอื่
น
โดยนาฏศิ
ลป์
ของลาวที่
มี
ให้
เห็
นในทุ
กวั
นนี้
อย่
างเช่
น โขน
ละครนอก ละครใน ลาวได้
ดั
ดแปลงเป็
นลั
กษณะการขั
บร้
อง
ของตนและใช้
แคนเป็
นเครื่
องดนตรี
หลั
กผสมกั
บวงปี่
พาทย์
การแสดงที่
โดดเด่
นของลาวคื
อ
“หมอลำ
�”
ซึ่
ง
เป็
นการขั
บร้
องประกอบดนตรี
ผู้
ขั
บร้
องจะร้
องเกี่
ยวกั
บ
ความรั
ก เรื่
องราวในสั
งคม เกร็
ด และนิ
ทานจากรามายณะ
และชาดกต่
างๆ ดนตรี
ที
่
ประกอบ ก็
คื
อ
“แคน”
ซึ
่
งเชื
่
อว่
าเป็
น
เครื่
องดนตรี
เก่
าแก่
มากในเอเชี
ย แต่
เดิ
มนั้
นการแสดงหมอลำ
�
จะมี
นั
กดนตรี
๑ คนและนั
กร้
องชาย ๑ คน แต่
ในช่
วงหลั
งๆ
อาจมี
นั
กร้
องหญิ
งเพิ่
มเข้
ามาด้
วย ส่
วนเนื้
อหาการร้
องก็
เปลี
่
ยนเป็
นเรื
่
องรั
กใคร่
ในส่
วนการแสดงนาฏศิ
ลป์
การฟ้
อนรำ
�
ที
่
มี
ชื
่
อเสี
ยงของลาวได้
แก่
“การฟ้
อนนางแก้
ว”
ซึ
่
งเป็
นการรำ
�
ที่
สื
บทอดท่
ารำ
�มาจากราชสำ
�นั
กลาวหลวงพระบาง การฟ้
อน
นางแก้
วเป็
นชุ
ดการแสดงที่
มั
กได้
รั
บการคั
ดเลื
อกให้
มาแสดง
ในงานสำ
�คั
ญระดั
บชาติ
อยู่
เสมอ
นอกจากนี้
แล้
วยั
งมี
การขั
บลำ
�พื้
นเมื
องประกอบ
การฟ้
อนเฉพาะถิ่
นอั
นเป็
นที่
รู้
จั
กกั
นดี
เช่
น ลำ
�ตั
งหวาย
ลำ
�สาละวั
น ลำ
�เชี
ยงขวาง ลำ
�ผู้
ไท ขั
บทุ้
มหลวงพระบาง และ
ลำ
�มหาชั
ย เป็
นต้
น อี
กทั้
งในการบั
นเทิ
งภาคค่ำ
�ในสถานที่
ต่
างๆ ชาวลาวยั
งมี
การละเล่
นเฉพาะเป็
นการเต้
นบาสลอป
ซึ่
งเป็
นจั
งหวะการเต้
นที่
ทุ
กคนในสถานที่
นั้
นจะออกมาเต้
น
ในรู
ปแบบเดี
ยวกั
น พร้
อมๆ กั
น และมี
การรำ
�วง เป็
นความ
สนุ
กสนานร่
วมกั
นของผู้
เข้
าร่
วมงานทั้
งหมดอี
กด้
วย
เฮื
อนมรดกเชี
ยงม่
วน