8
วั
ฒนธ รม
พวกเขามี
พื
ชผั
กผลไม้
อย่
างสมอ แตงร้
าน กระจั
บ 
น�้
ำเต้
า มะกอก และถั่
วหลายชนิ
ดกิ
นอย่
างค่
อนข้
าง 
หลากหลาย มี
เครื่
องปรุ
งรสเผ็
ดคื
อพริ
กไทย มี
เกลื
อจาก 
บ่
อเกลื
อแถบเมื
องน่
านและโนนเกลื
อแถบอ�
ำเภอด่
านขุ
นทด
นครราชสี
มา  เชื่
อกั
นว่
าเกลื
อเหล่
านี้
เป็
นสิ
นค้
าส�
ำคั
ญที่
บ้
านเมื
องในอี
สานสมั
ยโบราณส่
งลงไปแลกกั
บปลาที่
มี
อยู
อย่
างอุ
ดมสมบู
รณ์
ในเขตโตนเลซาบ (ทะเลสาบ) ของกั
มพู
ชา
และเป็
นส่
วนหนึ่
งของวั
ฒนธรรมปลาร้
าอั
นหลากหลายใน
เมื
องเขมร
ส่
วนชาวหมู
เกาะและคาบสมุ
ทรภาคใต้
ก็
คงหามะพร้
าว
และของทะเลจากชายฝั
งกิ
นได้
ง่
ายพอ ๆ กั
บที่
ชาวอี
สาน 
หาตาลและปลาน�้
ำจื
ดจากแม่
น�้
ำสายใหญ่
และบึ
งหนอง 
คลองห้
วยทั่
ว ๆ ไป
เรื่
องเครื่
องมื
อ คนก่
อนประวั
ติ
ศาสตร์
เมื่
อ ๒,๐๐๐ ปี
ก่
อน 
รู
จั
กใช้
อาวุ
ธเหล็
กล่
าสั
ตว์
อย่
างเก้
ง กวาง กระทิ
ง ควายป่
หมู
ป่
า ทั้
งสั
ตว์
ขนาดเล็
กอย่
างนก กระต่
าย เต่
า ตะพาบน�้
แถมพวกเขารู
จั
กน�
ำกระดู
กสั
ตว์
มาท�
ำเบ็
ดตกปลาได้
ก่
อนหน้
นั้
นแล้
ว แน่
นอนว่
าสั
ตว์
น�้
ำอื่
น ๆ เช่
น กุ
ง หอย ก็
เป็
นที่
นิ
ยมบริ
โภคกั
นมาก การขุ
ดค้
น 
สุ
สานมนุ
ษย์
ยุ
คหิ
นใหม่
ในอ�
ำเภอ
พนั
สนิ
คม ชลบุ
รี
 พบว่
าหลั
งการ 
ฝั
งศพแต่
ละครั้
ง “เจ้
าภาพ” ได้
ก่
กองไฟเผาและต้
มหอยแครงเลี้
ยง
ผู้
มาร่
วมงานครั้
งละมาก ๆ ด้
วย
แต่
ถ้
าพู
ดถึ
งเรื่
องภาชนะ
เครื่
องครั
วนั
บว่
ายั
งค่
อนข้
างขั
ดสน
เพราะแม้
จนเมื่
อ ๒,๐๐๐ ปี
ก่
อน 
ก็
ยั
งมี
แค่
หม้
อดิ
นเผาที่
เนื้
อไม่
หนามาก กระทะก็
ยั
งเป็
นดิ
นเผา
ทอดหรื
อผั
ดอะไรก็
ไม่
ได้
ดี
ยั
งต้
องใช้
หิ
นแม่
น�้
ำก้
อนใหญ่
แบน ๆ แทนครกที่
คงยั
งไม่
ใคร่
รู
จั
กแพร่
หลายในเวลานั้
ชุ
มชนแถบชายทะเลและภาคกลางคงใช้
เปลื
อกหอย เช่
หอยแมลงภู
 ตั
กอาหารประเภทต้
มแกง และแน่
นอนว่
าคน
ยุ
คนั้
น “เปิ
บ” หรื
อไม่
ก็
 “ปั
น” ข้
าวกิ
นด้
วยนิ้
วและอุ
งมื
อ ไม่
ได้
ใช้
ช้
อนแบบต่
าง ๆ อย่
างเดี๋
ยวนี้
ด้
วยเงื่
อนไขทั้
งหมดที่
กล่
าวมา “อาหารไทย” หลั
ก ๆ 
ในสมั
ยก่
อนจึ
งน่
าจะเป็
นข้
าวหุ
งสุ
กกั
บเครื่
องจิ้
มง่
าย ๆ อย่
างเช่
น 
เกลื
อต�
ำกั
บพริ
กไทยหรื
อมะแขว่
น ปรุ
งให้
รสจั
ดเพื่
อจะให้
กิ
นข้
าวและผั
กสดผั
กลวกได้
มากพออิ่
ม ส่
วนกั
บข้
าวประเภท
ต้
มแกงก็
น่
าจะคล้
ายกั
บของที่
นางอั้
วเชี
ยงแสน มเหสี
ของ
พญาง�
ำเมื
อง เจ้
าเมื
องพะเยาในพุ
ทธศตวรรษที่
 ๑๙ ปรุ
งให้
พญาง�
ำเมื
องกิ
น คื
อ “อ่
อมควาย” ซึ่
งเป็
นการเอาเนื้
อสั
ตว์
หรื
อพื
ชมา “อ่
อม” (ต้
มเคี่
ยวในน�้
ำนาน ๆ กั
บเครื่
องสมุ
นไพร
ปรุ
งเค็
มด้
วยเกลื
อหรื
อน�้
ำปลาร้
า) 
กั
บข้
าวลั
กษณะนี้
ที่
ยั
งเหลื
อร่
องรอยอยู่
จนปั
จจุ
บั
นก็
เช่
แกงเลี
ยง แกงใบชะมวง (จั
นทบุ
รี
) ต้
มโคล้
ง แกงหลอก
(เพชรบุ
รี
) รวมทั้
งต้
มเปอะและแกงบวน ซึ่
งมี
ส่
วนผสมของ 
น�้
ำคั้
นใบสมุ
นไพรตั้
งแต่
หนึ่
งชนิ
ขึ้
นไป บางครั้
งก็
ผสมแป้
งหรื
อ 
ข้
าวเบื
อ (ข้
าวสารแช่
น�้
ำต�
ำแหลก)
เพื่
อให้
น�้
ำแกงข้
นและรสชาติ
ดี
ขึ้
นด้
วย
อาหารไทย รวมถึ
งอาหาร
ชาติ
อื่
น ๆ ในเอเชี
ยตะวั
นออก
เฉี
ยงใต้
คงมี
ลั
กษณะคล้
ายคลึ
ง 
กั
นนี้
 จนกระทั่
งโลกาภิ
วั
ตน์
ทาง
อาหารระลอกแรก ๆ เริ่
มแพร่
เข้
ามาในช่
วงพุ
ทธศตวรรษที่
 ๒๑
ชาวหมู่
เกาะ
และคาบสมุ
ทรภาคใต้
คงหามะพร้
าวและ 
ของทะเลจากชายฝั่
ง 
กิ
นได้
ง่
ายพอ ๆ กั
ที่
ชาวอี
สานหาตาล 
และปลาน�้
ำจื
จากแม่
น�้
ำสายใหญ่
และบึ
งหนอง
คลองห้
วยทั่
ว ๆ ไป
>
(บน) ผู้
คนแต่
ละถิ่
น 
แต่
ละวั
ฒนธรรม
ล้
วนมี
วิ
ธี
และวิ
ถี
การหาอยู่
หากิ
ตามสภาพแวดล้
อมของตน
(ล่
าง) ชาวลุ่
มน�้
ำมี
ผั
กมี
ปลา
เป็
นอาหารหลั
1,2,3,4,5,6,7,8,9 11,12,13,14,15,16,17,18,19,20,...124