Page 100 - Culture4-2017 วารสารวัฒนธรรม ปีที่ ๕๖ ฉบับที่ ๔ ตุลาคม - ธันวาคม ๒๕๖๐
P. 100

ประเทศในแถบลุ่มแม่น�้าโขงกินข้าวเป็นอาหารหลักเพราะอยู่ในภูมิภาคที่
          พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ลุ่ม ทั้งภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ดิน และน�้า ล้วนเอื้ออ�านวยให้
          ปลูกข้าวได้ดี ข้าวจึงเป็นพืชพื้นถิ่นของเอเชียมาแต่โบราณกาล ในขณะที่ข้าวสาลี
          เป็นพืชพื้นถิ่นของตะวันออกกลาง และข้าวโพดเป็นพืชพื้นถิ่นของทวีปอเมริกา
               “วัฒนธรรมเหล่านี้ตั้งอยู่บนอาหารชุดหนึ่ง แต่อาหารที่ส�าคัญที่สุดคือธัญพืช
          ข้าวสาลี และข้าวบาร์เลย์ในตะวันออกใกล้ ข้าวเจ้าและข้าวฟ่างในเอเชีย รวมถึง
          ข้าวโพดในอเมริกา” ๑
               ขนมปังซึ่งท�ามาจากแป้งสาลีเป็นของต่างถิ่นที่เข้ามาในภายหลัง ข้าวสาลี
          อาจจะเดินทางมาจากอินเดียเข้าสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ร่วมกับการเดินทาง
          ของพันธุ์พืชจากต่างแดนสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มาพร้อมกับการเดินเรือ
          เพื่อแสวงหาโลกใหม่ของชาวโปรตุเกสและสเปน ในสมัยก่อนข้าวสาลีถือเป็น

          ของฟุ่มเฟือยมีแต่ชนชั้นสูงเท่านั้นที่จะได้กิน ดังบันทึกในจดหมายเหตุลาลูแบร์
          ที่เขียนขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
               “...แต่จะเป็นด้วยต้องเอาใจใส่มาก หรือสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายหรือว่าข้าว (สาร)
          นั้นมีมากพอส�าหรับราษฎรสามัญจะใช้บริโภคกันอย่างเหลือเฟือแล้วอย่างใด
          อย่างหนึ่ง ในประเทศสยามนั้นจึงยังมีแต่พระเจ้าแผ่นดินพระองค์เดียวเท่านั้นที่มี
          ไร่ข้าวสาลีอยู่ และลางทีก็อาจเป็นเพราะทรงเห็นว่าเป็นของแปลกมากกว่าจะทรง
          นิยมในรสชาติของมันก็เป็นได้ ชาวสยามเรียกข้าวชนิดนี้ว่า ข้าวโพดสาลี (Kaou
          possali) และค�าว่า ข้าว (Du riz) หมายถึงข้าวเจ้าอย่างเดียว...ชาวฝรั่งเศสที่อยู่
          ในประเทศสยาม สั่งแป้งสาลีมาจากเมืองสุรัตทั้ง ๆ ที่ใกล้ ๆ กรุงสยาม (ศรีอยุธยา)
          ก็มีโรงสีลมส�าหรับบดข้าวสาลีอยู่แห่งหนึ่ง และที่ใกล้เมืองละโว้ก็มีอีกแห่งหนึ่ง...
                                                                          ๒



                                                                             อนึ่ง ขนมปังสดที่พระเจ้ากรุงสยามโปรดพระราชทาน
                                                                        แก่พวกเรานั้นแห้งผากเกินไป กระทั่งว่าข้าวสวยที่หุงด้วย

                                                                        น�้าบริสุทธิ์นั้นมาตรว่าจะจืดชืดเพียงไร ข้าพเจ้าก็ยังเห็นว่า
                                                                                              ๒
                                                                        น่าบริโภคมากกว่าเป็นกอง...”
                                                                             ในบันทึกการเดินทางของโจวต้ากวน หนึ่งในคณะ
                                                                        ราชทูตจีนที่เดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีกับอาณาจักรขอม
                                                                        ที่นครธม เมื่อ พ.ศ. ๑๘๓๙ เป็นหลักฐานอีกชิ้นหนึ่งที่กล่าวถึง
                                                                        สินค้าจากเมืองจีนที่ชาวเขมรต้องการว่า “สิ่งที่เขาอยากได้
                                                                        มากที่สุดก็คือ ถั่วกับแป้งสาลีแต่ก็เอาออกไปจากเมืองจีน
                                                                        ไม่ได้” ในหัวข้อเกลือ น�้าส้ม น�้าซีอิ้ว แป้งหมี่ กล่าวว่า “เขาไม่
           ๑                                                            รู้จักท�าน�้าซีอิ้วเช่นเดียวกัน เพราะไม่มีแป้งสาลีและถั่ว” ๓


          ๑ Tom Standage. ประวัติศาสตร์กินได้. แปลโดย โตมร ศุขปรีชา. หน้า ๓๐.
          ๒ ลาลูแบร์, มองซิเออร์ เดอ. จดหมายเหตุ ลา ลูแบร์ ราชอาณาจักรสยาม. แปลโดย สันต์ ท. โกมลบุตร. หน้า ๖๖.
          ๓ เฉลิม ยงบุญเกิด. บันทึกว่าด้วยขนบธรรมเนียมประเพณีของเจินละ. หน้า ๓๓-๓๔, ๓๗.
          ๔ Tom Standage. ประวัติศาสตร์กินได้. แปลโดย โตมร ศุขปรีชา. หน้า ๑๙๒.

          98
   95   96   97   98   99   100   101   102   103   104   105