58
ยาหอมมี
การพบบั
นทึ
กลายลั
กษณ์
อั
กษรตั้
งแต่
ครั้
งกรุ
งศรี
อยุ
ธยาในรั
ชสมั
ยสมเด็
จพระนารายณ์
มหาราช
(พ.ศ. ๒๑๙๙ – ๒๒๓๑) ทรงโปรดฯ ให้
หมอหลวงในราชส�
ำนั
ก
รวบรวมต�
ำรั
บยาส�
ำคั
ญขึ้
นเป็
นต�
ำรายาเรี
ยกว่
า “ต�
ำรา
พระโอสถสมเด็
จพระนารายณ์
” นั
บเป็
นต�
ำรายาเล่
มแรก กล่
าวถึ
ง
ยา ๘๑ ต�
ำรั
บ แต่
ไม่
ได้
เผยแพร่
สู
่
ประชาชน ใช้
เฉพาะใน
ราชส�
ำนั
กเท่
านั้
น
ยาหอมถื
อว่
าเป็
นของสู
งและของหายาก มี
ราคา
แพงนิ
ยมใช้
กั
นในหมู
่
เจ้
านายที่
มี
ทรั
พย์
และมี
อ�
ำนาจวาสนา
เพราะเครื่
องยาหลายตั
วต้
องน�
ำเข้
าจากต่
างประเทศ ทั้
งยั
ง
ต้
องใช้
บริ
วารจ�
ำนวนมากมาบด มาร่
อน มาปรุ
ง ให้
ได้
ยาหอม
คุ
ณภาพดี
จนราษฎรทั่
วไปแทบไม่
รู
้
จั
กและไม่
มี
โอกาสได้
ใช้
ครั้
นถึ
งรั
ชสมั
ยพระบาทสมเด็
จพระจุ
ลจอมเกล้
าเจ้
าอยู
่
หั
ว
ทรงมี
พระราชประสงค์
ให้
ราษฎรที่
อยู
่
ห่
างไกลได้
เข้
าถึ
ง
ยาคุ
ณภาพดี
จึ
งทรงกระจายยาไปตามหั
วเมื
องต่
างๆ ภายใต้
ชื่
อ “ยาโอสถสภา” (ภายหลั
งเรี
ยก ยาต�
ำราหลวง) เป็
นยา
สามั
ญประจ�
ำบ้
าน ซึ่
งเป็
นยาฝรั่
งแผนปั
จจุ
บั
นมี
ด้
วยกั
น ๘
ขนาน ได้
แก่
ยาแก้
ไข้
ยาถ่
าย ยาแก้
ลงห้
อง ยาแก้
โรคไส้
เลื่
อน
ยาแก้
โรคบิ
ด ยาบ�
ำรุ
งโลหิ
ต ยาแก้
คุ
ดทะราดและเข้
าข้
อ และ
ยาแก้
จุ
กเสี
ยด เนื่
องจากยาโอสถสภาเป็
นของใหม่
ราษฎรไม่
นิ
ยมใช้
กั
น ในเวลาต่
อมากระทรวงมหาดไทยจึ
งจั
ดให้
ประชุ
ม
แพทย์
ไทยจั
ดหาต�
ำรายาไทย จึ
งได้
ผลิ
ตยาโอสถสภาแผน
โบราณออกจ�
ำหน่
ายด้
วย ยาแผนโบราณของโอสถศาลา
มี
หลายขนานเช่
น ยาธาตุ
บรรจบ ยาจั
นทรลี
ลา ยาสุ
ขไสยาสน์
ยาก�
ำลั
งราชสี
ห์
ยาหอมอิ
นทจั
กร์
เป็
นต้
น
ยาหอมมี
สรรพคุ
ณรั
กษาโรคลม
และนั่
นเองที่
ท�
ำให้
อี
กชื่
อหนึ่
งของยาหอมมั
กเรี
ยกติ
ดปากว่
า “ยาลม” อี
ก
ทั้
งยาหอมก็
ยั
งมี
สรรพคุ
ณเพื่
อบ�
ำรุ
งหั
วใจ ซึ่
งในการแพทย์
แผนไทยนั้
นไม่
ได้
หมายถึ
ง ยากระตุ
้
นการท�
ำงานหรื
อการ
ปรั
บเต้
นของหั
วใจ แต่
เป็
นยาที่
ปรั
บการท�
ำงานของลมที่
เคลื
่
อนไหวทั่
วร่
างกายมนุ
ษย์
ซึ่
งมี
ผลถึ
งการหมุ
นเวี
ยนของ
เลื
อดให้
เป็
นปกติ
โดยโรคลมก็
จะมี
อยู
่
ด้
วยกั
น ๒ ประเภท
ได้
แก่
๑. ลมกองละเอี
ยด คื
อ ลมที่
ก่
อให้
เกิ
ดอาการหน้
ามื
ด
ตาลาย เวี
ยนศรี
ษะ คลื่
นไส้
อ่
อนเพลี
ย
๒. ลมกองหยาบ คื
อ ลมที่
อยู
่
ภายในทางเดิ
น
อาหาร เกิ
ดอาการจุ
กเสี
ยด แน่
นท้
อง เรอ และผายลมนั่
นเอง
ความเกี่
ยวพั
นของลมทั้
งสองประเภทที่
หมุ
นเวี
ยน
กั
นอยู่
ในร่
างกายเรานั้
นก็
คื
อ เริ่
มด้
วย “ลมกองหยาบ” ที่
จะ
เกิ
ดขึ้
นในช่
องท้
อง อั
นเนื่
องมาจากระบบการย่
อยอาหาร
ที่
ไม่
ปกติ
จนท�
ำให้
เกิ
ดอาการท้
องอื
ด ท้
องเฟ้
อ จุ
ก เสี
ยด
แน่
นท้
องนั่
นเอง และเมื่
อลมกรองหยาบดั
นขึ้
นสู
่
ด้
านบนก็
จะกลายเป็
น “ลมกองละเอี
ยด” ซึ่
งจะเคลื่
อนที่
ไปมาตาม
ส่
วนต่
างๆ ของร่
างกาย จนท�
ำให้
เกิ
ดอาการแน่
นหน้
าอก ลม
จุ
กคอ หน้
ามื
ด ตาลาย ไปจนถึ
งปวดเมื่
อยกล้
ามเนื้
อต่
างๆ
และแน่
นอนว่
า สิ่
งที่
จะเข้
ามาช่
วยบรรเทานั่
นก็
คื
อ ยาหอม
หรื
อยาลมนั่
นเอง
เมื่
อได้
ขึ้
นชื่
อว่
า “ยาหอม” หากขาดสิ่
งที่
ท�
ำให้
เกิ
ด
“ความหอม” ก็
คงจะเรี
ยกว่
า เป็
นยาหอมไม่
ได้
ดั
งนั้
นสิ่
งที่
ขาด
ไม่
ได้
เลยนั่
นก็
คื
อ องค์
ประกอบ ๓ สิ่
งที่
ท�
ำให้
เกิ
ดความหอม
คื
อ ๑. ไม้
กฤษณา โดยสรรพคุ
ณก็
จะมี
กลิ่
นหอม บ�
ำรุ
งหั
วใจ
แก้
วิ
งเวี
ยน ๒. เกสรดอกไม้
ไทยๆ ที่
มี
กลิ่
นหอม เช่
น เกสร
บั
วหลวง (บ�
ำรุ
งหั
วใจ), ดอกสารภี
(ชู
ก�
ำลั
ง), ดอกพิ
กุ
ล (บ�
ำรุ
ง
เลื
อด), มะลิ
(ดั
บพิ
ษร้
อน) และบุ
นนาค (บ�
ำรุ
งจิ
ตใจให้
แช่
มชื่
น)
ซึ่
งเมื่
อรวมกั
นแล้
วเรี
ยกว่
า “เกสรทั้
ง ๕” เรี
ยกได้
ว่
า ๕ ตั
ว
๕ สรรพคุ
ณกั
นเลยที
เดี
ยว และสุ
ดท้
ายที่
จะต้
องมี
ส�
ำหรั
บ
ปรุ
งความหอม นั่
นก็
คื
อ ๓. ชะมดเช็
ด ซึ่
งเป็
นสมุ
นไพรที่
ได้
จากสั
ตว์
ชนิ
ดหนึ่
ง มี
สรรพคุ
ณในการบ�
ำรุ
งหั
วใจ และช่
วยให้
ยาออกฤทธิ์
แรงขึ้
นนั่
นเอง
จากสมุ
นไพรและต�
ำรั
บต่
างๆ หลายสู
ตรหลาย
ส่
วนผสมนั้
น ท�
ำให้
เราเห็
นถึ
งความล�
ำบากยากเย็
นในการท�
ำ
ยาหอมอย่
างชั
ดเจน โดยกระบวนการในการท�
ำยาหอมนั้
น
ก็
จะเริ่
มตั้
งแต่
การหาส่
วนประกอบที่
จะใช้
ในการปรุ
งยาให้
ครบถ้
วนตามต�
ำรั
บต�
ำรานั้
นๆ จากนั้
นก็
ล้
างท�
ำความสะอาด
ท�
ำการตากและอบจนแห้
ง และบดละเอี
ยด เพื่
อให้
สมุ
นไพร
ต่
างๆ กลายเป็
นผงสี
น�้
ำตาล เรี
ยกว่
า “กระแจะดิ
บ” ซึ่
งจะ
กลายเป็
นตั
วยาในการท�
ำยาหอมนั่
นเอง
เมื่
อได้
กระแจะดิ
บแล้
วก็
จะน�
ำไปปรุ
งกั
บ “น�้
ำ
กระสายยา” ซึ่
งประกอบด้
วยเกสรทั้
ง ๕ และลู
กชั
ด ขอนดอก
แฝกหอม จั
นทน์
แดง จั
นทน์
เทศ เป็
นต้
น ซึ่
งจะเป็
น “ตั
วยา