Page 8 - Culture4-2017 วารสารวัฒนธรรม ปีที่ ๕๖ ฉบับที่ ๔ ตุลาคม - ธันวาคม ๒๕๖๐
P. 8

สมัยเป็นเด็กต�าราเรียนสอนว่ารายได้หลักของ ก�าเนิดการทองเที่ยวโดยชุมชน

          ประเทศไทยมาจากการขายข้าว แร่ดีบุก ไม้สัก และยางพารา
          นั่นคงเป็นอดีตเนิ่นนาน...นานจนคนสมัยนี้ไม่อาจเข้าใจได้
               เพราะหลายสิบปีมานี้รายได้หลักที่ท�าให้ประเทศไทยยัง   สมัยก่อนการที่นักเดินทางจะไปนอนค้างตามหมู่บ้านในชนบท
          สามารถเติบโตทางเศรษฐกิจได้นั้นมาจากอุตสาหกรรมท่องเที่ยว นับเป็นเรื่องปกติ หากแต่ในโลกปัจจุบัน การเกิดขึ้นของสถานบริการ
               บางคนอาจกล่าวว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเป็นรายได้  ที่พักมีแทบทุกเมืองในโลกนี้ ท�าให้การไปพักค้างคืนกับชาวบ้าน
         ที่ไม่ต้องลงทุนสิ่งใดเลย ไม่ต้องหาวัตถุดิบ ไม่ต้องมีโรงงาน   ท้องถิ่นนั้นอาจไม่สะดวกเท่าไรทั้งฝ่ายเจ้าของบ้านและผู้มาเยือน
         ถ้าจะลงทุนก็น้อยมาก แค่แรงงานเพียงเท่านั้น และเก็บรักษา    หลังวิกฤตเศรษฐกิจปี พ.ศ. ๒๕๔๐ รัฐบาลไทยใช้การท่องเที่ยว
         สิ่งสวยงามไว้ แค่นี้ก็ดึงดูดคนมาเที่ยวได้แล้ว นี่นับว่าเป็นความ เป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยประกาศให้ปี พ.ศ. ๒๕๔๑-๒๕๔๒ เป็นปี
         เข้าใจที่คลาดเคลื่อน                                 ส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย หรือที่รู้จักติดปากว่า Amazing Thailand
                                                              ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๔๔ เกิดโครงการหนึ่งต�าบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (One

               เพราะแท้จริงแล้วการรักษาคุณค่าของสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่ามรดก Tambon One Product : OTOP) ขึ้น เพื่อกระตุ้นให้นักท่องเที่ยว
          ทางธรรมชาติ หรือมรดกทางวัฒนธรรม ไม่ว่ามรดกที่จับต้องได้หรือ หาซื้อผลิตภัณฑ์จากชุมชนเป็นของฝากของที่ระลึก กระทั่งในปี
          จับต้องไม่ได้ เป็นสิ่งซึ่งต้องรักษาไว้ไม่ให้เสื่อมโทรมไปจากที่เคยเป็น พ.ศ. ๒๕๔๗ มีการให้มาตรฐานสถานที่พักในชุมชน หรือโฮมสเตย์ขึ้น
          เคยมีอยู่ และการรักษาไว้ให้คงอยู่ล้วนต้องด�าเนินการโดยใช้ทุนทรัพย์  โดยเรียกชื่ออย่างเป็นทางการว่า “ที่พักสัมผัสวัฒนธรรมชนบท”
          เสมอ โดยเฉพาะทรัพยากรทางการท่องเที่ยว ซึ่งมีทั้งที่จับต้องมอง
          เห็นได้ หรือเป็นสิ่งที่ไม่อาจจับต้องได้แต่สัมผัสได้ด้วยความรู้สึก
               การท่องเที่ยวจึงจ�าเป็นต้องด�าเนินควบคู่ไปกับการดูแล
          รักษาแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นเสมือนต้นทุนที่จะท�าให้อุตสาหกรรมนี้
          ก้าวเดินต่อไป
               ในอดีตเวลาพูดถึงการท่องเที่ยว หากมิใช่การเที่ยวธรรมชาติ
          ไม่ว่าขุนเขาหรือท้องทะเล ก็จะเป็นการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์
          วัฒนธรรม ทว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในรอบราวสิบปีที่ผ่านมา
          คือ การท่องเที่ยวเชิงวิถีวัฒนธรรม กลับเป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวไม่ว่า
          ชาวไทยหรือต่างประเทศล้วนให้ความนิยมมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

               เหตุผลส�าคัญคงเป็นการเติบโตของเมืองใหญ่ที่ท�าให้ผู้คน
          ห่างไกลจากวิถีชีวิตที่เรียบง่าย สงบงาม ไม่เร่งร้อนกับการมีชีวิต
          คนในเมืองใหญ่หรือคนจากสังคมที่เจริญทางวัตถุมาก ๆ จึงโหยหา
          วิถีชีวิตสงบ มีความอิ่มเอมกับสถานที่และผู้คนที่ได้ไปสัมผัส
          หลายคนนิยามการท่องเที่ยวเช่นนี้ว่า “เที่ยวแบบสโลว์ไลฟ์” ชุมชน
          ท้องถิ่นในชนบทจึงกลายเป็นหมุดหมายใหม่ส�าหรับนักท่องเที่ยว
          ผู้อยากสัมผัสวิถีวัฒนธรรมของชาวบ้านอย่างแท้จริง สมัยหนึ่ง
          เราเคยเรียกขานการท่องเที่ยวแบบนี้ว่า “โฮมสเตย์” แต่เมื่อ
          แนวทางของการท่องเที่ยวแบบนี้เริ่มชัดเจนขึ้น มีการพัฒนารูปแบบ
          การจัดการโดยชาวบ้านเอง ผ่านตัวกลางอย่างเอเจนซีหรือบริษัท
          ทัวร์น้อยที่สุด ท�าให้ปัจจุบันเรียกแนวทางการท่องเที่ยวแบบนี้ว่า
          “การท่องเที่ยวโดยชุมชน”                              ๑



          6
   3   4   5   6   7   8   9   10   11   12   13