Page 24 - Culture1-2018
P. 24
ต่อมาประมาณปี พ.ศ. ๒๔๙๐ ขุนจารุวิเศษศึกษากร
ศึกษาธิการจังหวัดปัตตานีในขณะนั้น ท่านมีแนวคิดในการ
สืบสานด้วยเกรงว่า รองเง็ง อาจสูญหายไปจากเมืองปัตตานี จึง
รื้อฟื้นการแสดงรองเง็งแบบดั้งเดิมขึ้นอีกครั้ง พร้อมยังมีการ
ปรับปรุงท่าเต้นรองเง็งขึ้นใหม่โดยมีเค้าโครงจากของเดิม พร้อม
ทั้งน�าท่านาฏศิลป์ไทยมาประยุกต์ แต่ไม่ปรากฏมีการร้องปันตุน
โต้ตอบกัน เพราะขาดช่วงในการสืบสาน และผู้ที่มีปฏิภาณ
ไหวพริบในการร้องและด้นกลอนสดนั้นหาได้ยาก
โดยก�าหนดให้เป็นท่าเต้นมาตรฐาน ประมาณ ๑๐ เพลง
ได้แก่ เพลงลาฆูดูวอ เลนัง ปูโจ๊ะปีซัง มะอีนังลามา มะอีนังชวา
อาเนาะดิดิ๊ จินตาซายัง โดนนังซายัง มาสแมเราะห์ และ
บุหงาร�าไป เพื่อใช้เป็นแบบแผนในการถ่ายทอดที่ฝึกหัดได้ง่าย
และสามารถน�าไปถ่ายทอดแก่บุคคลอื่นที่สนใจได้ บทบาท
ของท่านขุนจารุวิเศษศึกษากร นอกเหนือจากการรื้อฟื้น
การแสดงรองเง็ง ท่านยังได้เขียนข้อสันนิษฐาน และความหมาย
ของค�าว่า “รองเง็ง” ไว้ด้วยว่า
“ค�าว่ารองเง็งไม่ใช่ค�าในภาษามลายู และไม่ทราบว่าเป็น
ภาษาใด แต่สันนิษฐานว่าคงมาจากเสียงของเครื่องดนตรีใช้
บรรเลงนั่นเอง ซึ่งแต่ก่อนมีกลองร�ามะนากับฆ้อง ซึ่งท�าด้วย
แผ่นเหล็กหนาๆ เสียงกลองร�ามะนาดัง ก็อง ก็อง และเสียงตี
ฆ้องเหล็ก ดัง แง็ง แง็ง ก็เลยเรียกการละเล่นนี้ตามเสียงของ
เครื่องดนตรีที่ได้ยิน คือ ก็องแง็ง แต่ค�าว่า ก็อง ในภาษามลายู
แปลว่า บ้าๆ บอๆ ซึ่งมีความหมายไม่ค่อยเป็นมงคลนัก จึง
แกล้งออกเสียงให้เพี้ยนไปเป็นรอง และลิ้นชาวมลายูไม่สันทัด
ในการออกเสียงแอ จึงออกเสียงแง็ง เป็น เง็ง ก็เลยกลายเป็น
รองเง็ง” (สุภา วัชรสุขุม. ๒๕๓๐ : ๑๓)
ในเวลาต่อมา รองเง็ง จึงกลับมาเป็นที่นิยมกันในหมู่
ข้าราชการ พ่อค้า และคหบดี ทั้งกลุ่มชาวไทยพุทธ ชาวไทย
เชื้อสายจีน และชาวไทยมุสลิมในเมืองปัตตานี และในยุคนี้
มีการน�าแอคคอร์เดียน หรือหีบเพลงชัก มาร่วมบรรเลงในวง
ดนตรีรองเง็งเพิ่มความไพเราะ และสร้างความสนุกสนานให้กับ
นักแสดงมากยิ่งขึ้น
จึงถือได้ว่า การแสดงรองเง็งไม่ได้จ�ากัดอยู่แต่เฉพาะในกลุ่ม
ชาวไทยมุสลิมอีกต่อไป หากยังปรากฏในกลุ่มชาวไทยพุทธ และ
กลุ่มชาวไทยเชื้อสายจีนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ และต่างมีบทบาท
ร่วมในการสืบสาน และอนุรักษ์การแสดงรองเง็งนี้ด้วย
22