Page 27 - Culture4-2017 วารสารวัฒนธรรม ปีที่ ๕๖ ฉบับที่ ๔ ตุลาคม - ธันวาคม ๒๕๖๐
P. 27

พ่อครูยิ้มพลางเล่าต่อ พออายุได้ ๑๗ ปี พี่ชายก็พาไปฝากตัว
            กับคณะซอไชยลังกาของพ่อครูไชยลังกา เครือเสน ศิลปินแห่งชาติ
            สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีพื้นบ้าน) พุทธศักราช ๒๕๓๐ เพื่อ
            ฝึกฝนการเล่นปินให้เป็นเรื่องเป็นราว ด้วยเห็นว่าน้องชายคงเอาดี
            ด้านนี้ได้อยู่ พ่อครูในวัยหนุ่มตระเวนไปกับคณะซอของพ่อครู
            ไชยลังกาทุกถิ่นที่ ไม่ว่าต่างอ�าเภอหรือต่างจังหวัด ใช่เพียงเท่านั้น
            ยังช่วยงานการทุกอย่าง ตั้งแต่งานในบ้านไปจนถึงงานในไร่นา
            เรียกได้ว่าฝากชีวิตไว้กับคณะซอเลยก็ว่าได้
                  พ่อครูไชยลังกาเองก็ดูเหมือนจะพอใจลูกศิษย์คนนี้ เพราะ
            หัวไวเข้าท่า ปินนั้นมีพื้นฐานมาก่อนหน้าแล้ว ฝึกเทคนิคอีกเพียง
            นิดหน่อยก็ได้เรื่อง ครั้นถ่ายทอดบทซอให้ ทั้งบทเกี้ยวสาว บทบวชพระ

            บทขึ้นบ้านใหม่ ไม่ทันไรก็จ�าได้หมด นอกจากนี้ยังแต่งค�ากลอนซอ
            แต่งโน้ตเพลง ประดิษฐ์สะล้อกับปินได้อีก สั่งสมประสบการณ์นานวันเข้า
            ก็ได้ท�าหน้าที่เป็นตัวรองของพ่อครูไชยลังกา ทั้งด้านการขับซอ
            สีสะล้อ และดีดปิน
                  ครั้นสิ้นพ่อครูไชยลังกาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๕ พ่อครูอรุณศิลป์
            ก็ได้สืบสานวงสะล้อ ซอ ปิน ต่อในนาม “คณะซออรุณศิลป์”
            บางโอกาสยังได้รับงานร่วมกับพ่อครูค�าผาย นุปิง ศิลปินแห่งชาติ
            สาขาศิลปะการแสดง (การแสดงพื้นบ้าน-ขับซอ) พุทธศักราช
            ๒๕๓๘ เนื่องจากวงของพ่อครูค�าผายไม่มีผู้หญิงที่จะขับซอ พ่อครู
            ทั้งสองรับงานร่วมกันเป็นครั้งคราว จนกระทั่งพ่อครูค�าผายเสียชีวิต
            ในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ คงเหลือเพียงพ่อครูอรุณศิลป์ที่สืบทอดภูมิปัญญา
            จากศิลปินแห่งชาติทั้งสองมาจนถึงทุกวันนี้ และแม้ว่าเมืองน่านจะมี
            วงสะล้อ ซอ ปิน หลัก ๆ อยู่ประมาณ ๑๒ วง ทว่าคณะซออรุณศิลป์นั้น
            นับเป็นวงสะล้อ ซอ ปิน ที่เก่าแก่ที่สุดถึง ๒๕ ปี

                  อย่างไรก็ตามพ่อครูอรุณศิลป์กล่าวว่า การขับซออยู่คู่เมือง
            น่านมานานแล้ว อีกทั้งยังโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ เรียกว่า ซอล่องน่าน
            โดยมีที่มาจากเมื่อครั้งพระยาการเมืองได้อพยพชาวเมืองวรนคร
            (เมืองปัว) ล่องมาตามแม่น�้าน่านเพื่อไปยังชัยภูมิใหม่ ณ เชิงดอย
            ภูเพียงแช่แห้ง พระองค์ได้สั่งให้จัดท�าแพขึ้น ๗ ล�า ส�าหรับบรรทุก
            ราษฎร แพล�าที่ ๗ พิเศษตรงที่เป็นแพของเหล่าศิลปิน ระหว่างทาง
            แพล�าที่ ๗ น�าโดยปู่ค�ามาและย่าค�าบี้ได้ขับซอบอกเล่าความรู้สึก
            ของคนที่ต้องจากบ้านเกิดเมืองนอน รวมถึงพรรณนาทิวทัศน์สองฝั่ง                                          ๔


            ภาพ ๑ การดีดปินไม่ใช่เรื่องยากที่จะเริ่มต้น เพียงมุ่งมั่นตั้งใจร�่าเรียน ใน ๑ วันก็อาจเล่นได้ถึง ๒ เพลง  ภาพ ๒ นอกจากการใช้คันชักสี อีกมือหนึ่งของผู้เล่นที่คอย
            หมุนคันสะล้อไปมาและกดสายสะล้อตามต�าแหน่งเสียงที่ต้องการ ท�าให้การเล่นสะล้อมีเสน่ห์เฉพาะตัว เวลาผู้เล่นสีสะล้อ นอกจากจะดูสวยงามแล้ว ยังท�าให้ผู้ชม
            เกิดความเพลิดเพลินไปด้วย  ภาพ ๓ คณะซออรุณศิลป์นับเป็นวงสะล้อ ซอ ปิน ที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองน่าน  ภาพ ๔ สะล้อเมืองน่านแตกต่างจากละล้อในล้านนาทั่วไป
            ตรงต�าแหน่งที่นิ้วมือซ้ายกดสายจะมีแผ่นไม้รองรับนิ้วและสาย คล้ายเป็นฐานเสียงหรือนม จ�านวน ๑๑ อัน


                                                                                             ตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๖๐    25
   22   23   24   25   26   27   28   29   30   31   32