Page 33 - วารสารวัฒนธรรม ปีที่ ๕๖ ฉบับที่ ๒ เมษายน - มิถุนายน ๒๕๖๐
P. 33
๓
๑ และ ๓ ตัวลายหลักที่กลาง ต่อมาบริเวณเมืองที่อยู่เดิมของพวกแจ๊ะเกิด หลากหลายและมีสีสันสวยงาม หลังจากน?าไผ่ซาง
ก่องข้าวเป็นลายดอกก?าบึ้งหลวง แผ่นดินถล่ม เจ้าเมืองและชาวบ้านต่างหนีตายไปหมด ที่จักตอกเรียบร้อยมาสานขึ้นฐาน พวกเขาฉีกเส้นไผ่
หรือลายแมงมุมใหญ่ เล่นระดับ
ด้วยความละเอียดอ่อนและมีชั้นเชิง พวกแจ๊ะที่รักถิ่นฐานเดิมของตนเองรู้ข่าวเมืองถล่ม ออกเป็นเส้นเล็กลงแล้วสานต่อด้วยทักษะให้เป็น
๒ และ ๔ สว่านเจาะรูแบบพื้นถิ่น จนผู้คนหลบหนีออกไปจากเมือง จึงอพยพกลับมา ก่องข้าวหลายรูปทรง ทั้ง ก่องข้าวคอกิ่ว ก่องข้าวคอเลิง
หนึ่งอุปกรณ์ส?าคัญส?าหรับ ตั้งบ้านเรือนใกล้ ๆ กับเมืองเก่า แต่ด้วยความกลัว และเกลากลึงไม้สักมาท?าเป็นขาก่องข้าว ร้อยเชือกหวาย
ร้อยสายสะพายก่องข้าวดอก
ว่าแผ่นดินจะถล่มขึ้นมาอีก พวกแจ๊ะจึงเดินห่มตัว ท?าหูห้อย
คือขย่มตัวท?าให้ตัวเบาจนกลายเป็นนิสัย ชาวบ้าน เมื่อลงลึกไปในลวดลายต่าง ๆ ที่ท?าให้ก่อง
จึงเรียกพวกนี้ว่า “แจ๊ะห่ม” ก่อนจะเพี้ยนมาเป็น ข้าวดอกของคนบ้านไผ่ปงยิ่งเปี่ยมคุณค่า จะพบการ
“แจ้ห่ม” ยกดอกลวดลายด้านนอก เช่น ลายจันเกี้ยว ซึ่งถือเป็น
ชาวบ้านไผ่ปงที่ถือเป็นลูกหลานของชาวแจ๊ะ ลายโบราณ ต่อยอดสู่ลายจันแปดกลีบ ลายดอกแก้ว
ต่างใช้ชีวิตกสิกรรมกลางแดนดอยมาพร้อม ๆ กับ ลายประแจจีน ลายก?าเบ้อและลายก?าบี้ ลายสอง
การสืบสานการจักสานก่องข้าวดอกมานับ ลายสาม ฯลฯ โดยใช้สีที่สกัดจากเปลือกต้นหยีและ
ร้อยปี ก่องข้าวของพวกเขาพิเศษ ต้นครามที่ขึ้นอยู่ตามธรรมชาติ ก่อนที่จะใช้สีส?าเร็จเช่น
แตกต่างจากท้องถิ่นอื่นคือ ในปัจจุบัน ซึ่งทั้งหมดถือเป็นพัฒนาการทางลวดลาย
การสานลวดลาย ที่เติบโตมาเคียงข้างประวัติศาสตร์ชุมชน
๔
เมษายน-มิถุนายน ๒๕๖๐ 31