Page 48 - E-Book Culture 02_20182
P. 48

ประชาชนมาชมการแข่งขันว่าวที่สนามพระราชวังสวนดุสิต  ว่าวจุฬาที่ชนะการแข่งขันในสมัยรัชกาลที่ ๕  ต�าราว่าวเล่มแรกของไทยโดยพระยาภิรมย์ภักดี




         ให้นายสนามตรวจจ�ากัดขนาดของว่าวจุฬา และว่าวปักเป้า ส่วน  เล่นว่าวไทย” ทั้งยังเป็นผู้แต่งหนังสือ ต�านานว่าวพนัน ต�าราผูก
         สายเครื่องและป่านชักให้ท�าเครื่องหมายเป็นสีที่แตกต่างกัน และ  ว่าว วิธีชักว่าว และการเล่นว่าวต่อสู้กันในอากาศ ซึ่งถือเป็นต�ารา
         ให้รับเงินวางเดิมพันของทั้ง ๒ ฝ่าย และพระราชทานวงดนตรี  ว่าวเล่มเดียวในเมืองไทย และเป็นผู้การก่อตั้งสมาคมกีฬาสยาม
         มาประโคมประกอบการเล่นว่าวถึง ๒ วง คือ ทางฝ่ายว่าวจุฬา      ในสมัยรัชกาลที่ ๖ หลวงเจนสถลรัถย์ (จัน ภูมิจิตร) เริ่ม
         วงหนึ่ง ฝ่ายว่าวปักเป้าวงหนึ่ง ทั้งสองวงเป็นวงปี่พาทย์ไทย  นัดเล่นว่าวพนันขนาดเล็ก โดยใช้ว่าวจุฬาที่มีอกยาวเพียง ๓ ศอก

         วงหนึ่ง แตรวงสากลวงหนึ่ง และโปรดเกล้าฯ พระราชทานเลี้ยง  คืบ เล่นที่ทุ่งศาลาแดงอันกว้างใหญ่และอยู่ไม่ไกลจากชุมชน
         เครื่องว่างแก่ผู้ที่น�าว่าวมาแข่งขัน ท�าให้สนามสวนดุสิตเป็นสนาม  เมื่อว่าวตกก็สามารถตามเก็บได้สะดวก เพราะไม่มีบ้านเรือน
         แข่งขันว่าวที่ครึกครื้นสนุกสนานกว่าสนามแห่งอื่นๆ ในการ  หนาแน่น จึงมีผู้นิยมน�าว่าวไปเล่นและไปชมเป็นจ�านวนมาก แม้
         แข่งขันชิงถ้วยทองนี้ พระองค์เสด็จฯ มาประธานและพระราชทาน  กระทั่งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เช่น พระยาประชากรกิจวิจารณ์
         ถ้วยด้วยพระองค์เอง ซึ่งถ้วยทองนี้จะพระราชทานแก่ว่าวจุฬาและ   (โอ อมาตยกุล) พระยาประชุมพลขันธ์ (ขัน ศรียาภัย) ก็น�าว่าว
         ปักเป้าตัวที่ชนะยอดเยี่ยมอย่างละ ๑ ถ้วย และหากชนะติดต่อกัน  จุฬามาเล่นเดิมพันกับว่าวปักเป้า โดยขอให้พระยาภิรมย์ภักดี

         ๓ ปีซ้อนจะได้ถ้วยนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ นอกจากรางวัลถ้วยทองแล้ว  พระอรสุมพลาภิบาล ซึ่งเป็นผู้ชักว่าวปักเป้าฝีมือดี น�าว่าวปักเป้า
         ยังมีรางวัลผ้าแพรห้อยดิ้นปักเลื่อม เป็นอักษรพระนาม จปร. มี  ไปล่อและพนันกันเป็นที่สนุกสนาน นักเล่นว่าวฝีมือดีจ�านวนมาก
         ๓ สี ๓ ชั้นรางวัล คือ สีทอง สีชมพู และสีทับทิม เป็นรางวัล  จึงไปเล่นที่สนามทุ่งศาลาแดง ต่อมาสนามแห่งนี้ ได้เลิกเล่นว่าว
         ส�าหรับว่าวจุฬาและปักเป้า ต่างกันตรงที่ปักเป้าจะมีรูปกลม  ขนาดเล็ก เปลี่ยนเป็นว่าวจุฬาขนาดใหญ่ ๔ ศอกเศษ เล่นได้

         ดอกจัน ในปีนั้นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ หรือรัชกาลที่ ๖  เพียง ๓ ปี ต้องหยุดเล่น เนื่องจากพระยาประชากรกิจวิจารณ์
         กรมหลวงชุมพรเขตต์อุดมศักดิ์ และพระภิรมย์ภักดี (นายชม  และพระยาประชุมพลขันธ์ ติดราชการ สนามทุ่งศาลาแดงได้รับ
         เศรษฐบุตร) ลงแข่งด้วย ซึ่งพระภิรมย์ภักดีเป็นผู้ได้รับชัยชนะ  ความนิยมลดลงไปเรื่อยๆ จนต้องล้มเลิกไป
         การเล่นว่าวที่สนามสวนดุสิตด�าเนินไปอย่างสนุกสนานได้เพียง ๒ ปี     ใน พ.ศ. ๒๔๖๗ ได้มีการจัดประลองว่าวจุฬาและว่าวปักเป้า
         เท่านั้น ก็ต้องล้มเลิกไป เนื่องจากรัชกาลที่ ๕ ไม่ทรงว่างจาก  ขึ้นอีกครั้งใน “วันกาชาด” โดยมีพระยาภิรมย์ภักดีเป็นนายสนาม
         พระราชกิจ นักเล่นว่าวจึงกลับไปเล่นกันที่ท้องสนามหลวง   เป็นครั้งแรก สมเด็จพระมาตุจฉาเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี

              ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ว่าวปักเป้าที่มีชื่อเสียงมาก คือ ว่าวของ  องค์สภานายิกา แห่งสภากาชาดสยาม เสด็จฯ มาประทานรางวัล
         พระภิรมย์ภักดี (ชม เศรษฐบุตร) ซึ่งเป็นบิดาของพระยาภิรมย์ภักดี  แก่เจ้าของว่าวภาพที่ชนะการประกวด ฝ่ายว่าวจุฬามีสมเด็จพระเจ้า
         (บุญรอด เศรษฐบุตร) ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นนายสนามว่าวคนแรก  น้องยาเธอ เจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ เป็น
         พร้อมธงประจ�าต�าแหน่ง เป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในการเล่นว่าว  ผู้ทรงชักเอง เป็นที่สนุกสนานครึกครื้นของผู้ชมเป็นอย่างมาก ใน
         ปักเป้า ที่หาคู่ต่อสู้ได้ยาก จนได้รับยกย่องให้เป็น “ครูของการ  งานนี้ เก็บเงินรายได้บ�ารุงสภากาชาดสยามได้กว่า ๕,๐๐๐ บาท



     46
   43   44   45   46   47   48   49   50   51   52   53