Page 23 - E-Book Culture 02_20182
P. 23

ผู้เป่าขลุ่ยและตีร�ามะนาเพิ่มเข้ามาในวง
                                                                              จึงกลายเป็น “มโหรีเครื่องหก”

                                                                                   บทเพลงที่วงมโหรีโบราณนิยมใช้บรรเลง
                                                                              เป็นเพลงเกร็ดสองชั้นที่มีเนื้อร้องก�ากับในเชิง
                                                                              กวีโวหาร และเพลงตับที่เรียบเรียงเป็นชุดเพื่อ
                                                                              การเล่าเรื่องอย่างเพลิดเพลิน บทบาทส�าคัญ
                                                                              คือการขับร้องถ่ายทอดเนื้อหาของเพลงให้ได้

                                                                              อารมณ์ความรู้สึกที่ถูกต้อง เสียงของวงมโหรี
                                                                              มีความอ่อนหวานนุ่มนวล ตัวอย่างบทเพลง
                                                                              มโหรี เช่น ตับต้นเพลงฉิ่ง ตับนางนาค พัดชา
                                                                              มหาชัย สระสม พระทอง ค�าหวาน เป็นต้น
                                                                                   บทเพลงที่นิยมบรรเลงด้วยกระจับปี่
                                                                              แต่เดิมจะเป็นเพลงสองชั้นสั้นๆ ที่มีท�านอง

                                                                              เรียบง่าย จังหวะปานกลาง เป็นส่วนมาก อาทิ
           ๓
                                                                              นางนาค พัดชา ลีลากระทุ่ม สรรเสริญ
                                                                              พระจันทร์ มหาไชย สระสม นาคเกี่ยวพระสุเมรุ
                              กระจับปี่ในวงมโหรีโบราณ                         พระทอง ถอยหลังเข้าคลอง อังคารสี่บท

                                   สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด�ารงราชา   ปะตงโอด ปะตงพัน อรชร ล�าไป เนียรปาตี

                              นุภาพ ทรงอธิบายว่า วงมโหรีโบราณ เกิดจากการประสม  จันดิน ก้านต่อดอก เป็นต้น เคยมีการรวบรวม
                              เครื่องดนตรีในวงขับไม้ กับวงบรรเลงพิณเข้าด้วยกัน  รายชื่อเพลงในต�ารามโหรีครั้งกรุงเก่าไว้และยัง
                                   วงขับไม้ประกอบด้วยคนซอสามสายด�าเนินท�านอง  มีเพลงยาวต�ารามโหรีสมัยรัชกาลที่ ๑ ตกทอด
                              คลอคนร้อง คนไกวบัณเฑาะว์ ส่วนวงบรรเลงพิณเป็นการ  มาอีกด้วย (อานันท์ นาคคง, ๒๕๓๘ : ๘๐)
                              บรรเลงกระจับปี่หรือพิณเพียะ/พิณน�้าเต้า คลอเคล้าไปกับ  เมื่อพิจารณาจากเพลงขับเรื่องซอมโหรี ก็จะ
                              ผู้ร้องล�าน�า วงดนตรีทั้งสองแบบมีหลักฐานอยู่ในสมัยกรุง  ระบุชื่อเพลงโบราณถึง ๑๙๒ เพลง เพลงบาง

                              สุโขทัยเป็นราชธานี                              เพลงก็ยังคงปรากฏใช้บรรเลงในปัจจุบัน แต่บาง
                                   ต่อมาได้เกิดการรวมเครื่องดนตรีจากทั้งวงขับไม้และ  เพลงก็คงเหลือเพียงชื่อเพลงและบทขับร้องที่
                              บรรเลงพิณเข้าด้วยกัน เกิดเป็นวงดนตรีที่เรียกว่า “มโหรี”   ไม่สามารถสืบค้นท�านองเพลงเหล่านั้นได้อีก
                              วงดนตรียุคแรกเริ่มจะประกอบไปด้วยนักดนตรี ๔ คน มี     ครั้นถึงสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ มีการ

                              คนขับร้องล�าน�าและตีกรับพวงให้จังหวะคนหนึ่ง คนสีซอ  น�าเอาเครื่องปี่พาทย์ย่อส่วนเข้ามาประสม คือ
                              สามสายคนหนึ่ง คนดีดกระจับปี่คนหนึ่ง และคนตีโทนให้  ระนาดไม้และระนาดแก้ว จึงกลายเป็น “วง
                              จังหวะอีกคนหนึ่ง เรียกเป็นชื่อวงตามจ�านวนคนว่า “มโหรี  มโหรีเครื่องแปด” และต่อมาเกิดการน�าจะเข้
                              เครื่องสี่” เป็นการประสมวงอย่างเล็กๆ ที่ใช้ขับกล่อมให้  ไปแทนที่กระจับปี่ซึ่งให้เสียงเบาและดีด
                              ความบันเทิงในราชส�านัก โดยที่ผู้เล่นจะเป็นเพศหญิง ซึ่ง  ยากกว่า ส่วนกรับพวงที่ก�ากับจังหวะพร้อมทั้ง
                              ต่างจากปี่พาทย์ที่ใช้ผู้ชายเล่นประกอบพิธีกรรมหรือ  การขับร้องมาตั้งแต่ต้นก็หันไปใช้ฉิ่งซึ่งดัง

                              ประกอบการแสดงโขนละคร ในสมัยอยุธยาตอนปลาย มี     ชัดเจนกว่า และในที่สุด ก็เพิ่มระนาดทุ้ม
                              หลักฐานจิตรกรรมฝาผนังตามวัดและลวดลายเขียนรดน�้า  ฆ้องวง ซอด้วง ซออู้ เข้ามาในวง จนกลาย
                              ตามตู้หนังสือธรรมแสดงให้เห็นว่า วงมโหรีมี ๖ คน คือมี  เป็นรูปแบบของวงมโหรีที่นิยมในยุคปัจจุบัน

                                                                                               เมษายน - มิถุนายน ๒๕๖๑  21
   18   19   20   21   22   23   24   25   26   27   28