Page 112 - Culture1-2018
P. 112

อังกฤษแบบดัดจริตนิดนึง มันเคยเห็นมาตลอด มันท�าให้เห็น ฮอลลีวูดเลยนะ ต้องชื่นชม
          ภาพอดีตของเราที่เกิดขึ้นในวัยเด็ก และหนังมันละมุนมาก     เรื่องที่ห้า องค์บำก คนไทยเปิดเวทีมวยไทยมานานแล้ว
              เรื่องที่สาม ลูกอีสำน ตอนนั้นผมอายุ ๙ ขวบ หนีคุณย่า สมัยก่อนมวยไทยของคนไทยคือความรุนแรง ต่อยตีกันเลือด
          ไปดูหนังกลางแปลงในวัด ในมุมมองของเด็กมันเป็นหนังชีวิต ออกหัวแตก พ่อแม่เลยส่งลูกไปเรียนเทควันโดกันหมด แล้วพอ

          รันทดเลย คนอีสานที่ต้องต่อสู้กับความแห้งเล้ง เขากินกิ้งก่ากัน  มีหนังแบบนี้ คนไทยเลยได้เปิดยิมมวยไทยมากขึ้น ใครๆ ก็เรียน
          เอามือแหวกขี้ควายเพื่อที่จะเอาแมงกุดจี่มากิน ดูแล้วก็น�้าตาไหล  มวยไทย เด็กก็หันมาเรียนมวยไทย
          สงสาร โห...คนอีสานรันทดขนาดนี้เลยเหรอ นั่นคือท�าให้เรา    เรื่องที่หกยกให้ โหมโรง ช่วงแรกๆ ท�ารายได้ประมาณ
          เห็นภาพจริงและท�าให้รู้ว่าคนอีสานล�าบากแค่ไหน        ๕ แสนบาท ตอนแรกคิดว่าไม่รอดแน่ แต่เสียงบอกต่อ มันท�าให้
              เรื่องที่สี่ ๒๔๙๙ อันธพำลครองเมือง ผมมองว่าเป็นหนัง หนังเพิ่มรายได้ จากที่คาดว่าปิดโปรแกรมที่ ๕ ล้าน ไปจบที่

          ที่พลิกวงการหนังไทยในยุคหนึ่ง ยุคที่หนังไทยกระโปรงบาน  ๕๒ ล้านได้ คือว่าหนังมันดีจริงๆ เป็นหนังอีกเรื่องที่เปลี่ยนแปลง
          ขาสั้น ยุคที่วัยรุ่นครองเมือง วิถีของวัยรุ่นที่สนุกสนานเฮฮา จริงๆ  สังคม พอหนังฉายออกไป เกิดกระแสอนุรักษ์ดนตรีไทย เด็กถือซอ
          ผมเกลียดหนังไทยในยุคนั้นนะ พอมีเรื่องนี้เข้ามาเลยรู้สึกว่า  ถือจะเข้หรือกระเป๋าขิมไปเรียนนี่คือเท่เลย
          เฮ้ยเมืองไทยท�าหนังแบบนี้ได้ด้วยเหรอ นางเอกก็ไม่ได้ดังเลย     เรื่องที่เจ็ด เพื่อนสนิท ผมว่ามันเป็นหนังโรแมนติกคอมมาดี
          แต่ความสนุกในการเล่าเรื่อง การใช้มุมกล้อง การใช้เพลง แบบ เรื่องแรกๆ ที่เป็นอารมณ์ร่วมสมัย ผมเชื่อว่าทุกคนต้องเคยแอบ


     110
   107   108   109   110   111   112   113   114   115   116   117