Page 60 - Culture4-2017 วารสารวัฒนธรรม ปีที่ ๕๖ ฉบับที่ ๔ ตุลาคม - ธันวาคม ๒๕๖๐
P. 60

การถวายต้นผึ้งเป็นพุทธบูชามีที่มาจากพุทธประวัติ ตอนที่ ๑๒๔
                                                   “เรื่องลิงถวายรวงผึ้ง” ขณะที่พระพุทธเจ้าประทับ ณ ป่าปาเลไลยก์ กล่าวถึง
                                                   เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าเสด็จจ�าพรรษาในป่าต้นสาละใหญ่โดยล�าพัง มีช้างป่า
                                                   นามว่า “ปาลิไลยก์” เป็นบริวารจัดอาหารถวายประจ�า เมื่อลิงเห็นเข้าก็น�ารวงผึ้ง
                                                   ไปถวายบ้าง แต่พระพุทธเจ้าไม่ทรงรับเพราะว่าในรวงผึ้งนั้นยังมีตัวผึ้งอ่อนอยู่
                                                   หลังจากนั้นเจ้าลิงจึงกลับไปดึงตัวผึ้งอ่อนออกจากรวงผึ้งแล้วน�าไปถวายอีกครั้ง
                                                   ครั้งนี้พระพุทธเจ้าทรงรับ ในเวลาต่อมาเจ้าลิงที่ถวายรวงผึ้งได้ตกต้นไม้ตาย แต่
                                                   กุศลผลบุญที่ท�าไว้ในการถวายรวงผึ้งที่ไม่มีตัวผึ้งอ่อนแก่พระพุทธเจ้า ได้ไปเกิดเป็น
                                                   เทพบุตรบนสรวงสวรรค์
          บันทึกและภาพแห่ปราสาทผึ้ง                      จึงเป็นที่มาของแนวคิดในการสร้างต้นผึ้งและหอผึ้งเพื่อถวายเป็นกุศล
          วันวิสาขบูชา นครพนม พ.ศ. ๒๔๔๙            ในทุกโอกาสที่มีการบูชาพระพุทธเจ้า การบูชาพระพุทธเจ้าด้วยการถวายต้นผึ้ง

            พระนิพนธ์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ    ก็เปรียบกับการได้ถวายรวงผึ้งและจะได้รับอานิสงส์ผลบุญเมื่อสิ้นชีวิตไปแล้ว
          กรมพระยาด�ารงราชานุภาพ เรื่องเที่ยวที่ต่าง ๆ   เฉกเช่นลิงนั่นเอง ขณะเดียวกันยังมีความเชื่อว่าการท�าต้นผึ้งหรือดอกผึ้งเพื่อเป็น
          ภาค ๔ ว่าด้วยเที่ยวมณฑลนครราชสีมา มณฑล   พุทธบูชาในงานศพ ก็จะท�าให้ผู้เสียชีวิตนั้นได้รับอานิสงส์สู่ชั้นสวรรค์เช่นกัน
          อุดร และมณฑลร้อยเอ็ด มีความตอนหนึ่งกล่าวถึง    ค�าว่า ต้นผึ้ง ชาวอีสานและชาวลาวออกเสียงส�าเนียงเป็น “ต้นเผิ่ง”
          การแห่ปราสาทผึ้งบริเวณวัดพระธาตุพนม จังหวัด  หรือบางแห่งเรียก “ต้นดอกผึ้ง” ส�าหรับต้นผึ้งที่ผู้คนทั่วไปถวายแก่พระธาตุ-
          นครพนม วันวิสาขบูชา เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๙ ไว้ว่า  ศรีสองรักนั้นแบ่งแยกย่อยออกไป เรียกว่า “ต้นผึ้งน้อย” ส่วนต้นผึ้งขนาดใหญ่
            “...เวลาบ่าย ๔ โมง ราษฎรแห่ปราสาทผึ้ง  ที่น�าขบวนพร้อมกับเจ้าพ่อกวนและเจ้าแม่นางเทียมนั้น เรียกว่า “ต้นผึ้งใหญ่”
          และบ้องไฟเป็นกระบวนใหญ่เข้าประตูชาลา     ขณะเดียวกันหลายท้องที่เรียกต้นผึ้งใหญ่ว่า “หอผึ้ง” และยังมีต้นผึ้งที่ท�าจาก
          พระเจดีย์ด้านตะวันตก แห่ประทักษิณองค์    หน่อกล้วยประดับดอกผึ้งตามภูมิปัญญาชาวบ้าน เรียกกันว่า “ต้นผึ้งมีชีวิต”
          พระธาตุสามรอบ กระบวนแห่นั้นคือ ผู้ชาย    ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงสมดั่งนาม
          และเด็กเดินข้างหน้าหมู่หนึ่งแล้วมีพิณพาทย์
          ต่อไปถึงบุษบกมีเทียนขี้ผึ้งใหญ่ ๔ เล่ม ในบุษบก
          แล้วมีรถบ้องไฟ ต่อมามีปราสาทผึ้ง คือแต่ง       ก่อนวันวิสาขบูชาหนึ่งวันหรือวันขึ้น ๑๔ ค�่า ที่ลานหน้าเรือนเจ้าพ่อกวน
          หยวกกล้วยเป็นรูปปราสาท แล้วมีดอกไม้ท�าด้วย  และเจ้าแม่นางเทียม หญิงและชายต่างวัยชุมนุมแบ่งหน้าที่สร้างต้นผึ้งและหอผึ้ง

          ขี้ผึ้งเป็นเครื่องประดับ มีพิณพาทย์ ฆ้อง กลอง   เพื่อร่วมกุศลผลบุญในวันรุ่งขึ้น ทุกขั้นตอนด�าเนินตามรูปแบบแต่ครั้งเก่าก่อน
          แวดล้อมแห่มา และมีหญิงชายเดินตามเป็นตอน ๆ    ทั้งลวดลาย ฝีไม้ลายมือ และความเชี่ยวชาญ ที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นมาหลาย
          กันหลายหมู่ และมีกระจาดประดับประดาอย่าง  ช่วงอายุของชาวด่านซ้าย นับเป็นโอกาสดีที่ผู้มาเยือนจะได้ชมขั้นตอนการสร้าง
          กระจาดผ้าป่าห้อยด้ายไส้เทียนและไหมเข็ด    ต้นผึ้งและหอผึ้งอย่างใกล้ชิด รวมไปถึงฝีไม้ลายมือของผู้ชาย และความประณีต
          เมื่อกระบวนแห่เวียนครบสามรอบแล้ว ได้น�า  ในการประดิดประดอยดอกผึ้งของผู้หญิง ตั้งแต่เวลาฟ้าสางจนย�่าค�่า
          ปราสาทผึ้งไปตั้งถวายพระมหาธาตุ ราษฎรก็นั่ง     ขั้นตอนการท�าต้นผึ้งเป็นหน้าที่ของผู้ชาย ด้วยการตัด ขัด ตอก และประกอบ
          ประชุมกันเป็นหมู่ ๆ ในลานพระมหาธาตุคอย   หอผึ้ง ซึ่งงานผู้ชายอย่างนี้เรียกกันตามศัพท์พื้นบ้านว่า “หักหอผึ้ง” ขณะที่ผู้หญิง
          ข้าพเจ้าจุดเทียนนมัสการ แล้วรับศีลด้วยกัน    ช่วยกันท�าดอกผึ้ง โดยน�าไขขี้ผึ้งใส่หม้อตั้งไฟให้ละลาย ใช้ผลมะละกอดิบตัดเอา
          พระสงฆ์มีพระครูวิโรจน์รัตโนบลเป็นประธาน   เฉพาะส่วนหัวที่เป็นปลายแหลม ปลอกเปลือก แช่น�้าไว้ น�าผลมะละกอที่ตัดเตรียมไว้
          เจริญพระพุทธมนต์ เวลาค�่ามีการเดินเทียนและ   แล้วใช้ด้านหัวปลายแหลมเป็นแม่พิมพ์จุ่มลงในไขขี้ผึ้งที่ละลาย ไขขี้ผึ้งจะเคลือบ
          จุดบ้องไฟดอกไม้พุ่ม และมีเทศน์กัณฑ์หนึ่ง...”  ติดขึ้นมาจึงน�าลงแช่น�้าอีกครั้ง ไขขี้ผึ้งที่เคลือบติดมะละกอนั้นก็จะหลุดออกมาเป็น
                                                   ทรวดทรงกลีบดอกไม้อย่างสวยงาม ส่วนเกสรดอกผึ้งใช้เหง้าขมิ้นแก่ หั่นตามขวาง



          58
   55   56   57   58   59   60   61   62   63   64   65