Page 115 - E-Book Culture 02_20182
P. 115
ตามประวัติว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ ๔ (ครองราชย์ พ.ศ. ๒๓๙๔-๒๔๑๑) เมื่อยังทรงผนวช
ได้ไปพบจารึกนี้ ณ เนินปราสาทเก่า จ.สุโขทัย เมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๖
(๑๙๐ ปีมาแล้วนับจาก พ.ศ. ๒๕๖๑)
เนื้อหาของจารึกว่าด้วยด้วยประวัติของพ่อขุนรามค�าแหง
ตั้งแต่ประสูติ จนเสวยราชย์ ตอนแรกใช้สรรพนามว่า “กู” แต่
ตอนหลังใช้สรรพนามว่าพ่อขุนรามค�าแหง แสดงว่าอาจมีคนอื่น
เขียนจารึกต่อ (ดูหนังสือ ประชุมจารึกสยาม ภาคที่ ๑
งานพระราชทานเพลิงศพเจ้าพระยามุขมนตรี (อวบ เปาโรหิตย์)
พ.ศ. ๒๔๗๗)
ถึงยุค ๒๕๓๐ นักวิชาการ เช่น ดร.พิริยะ ไกรฤกษ์ กับ
ไมเคิล ไรท์ ได้เขียนบทความเสนอในท�านองว่าจารึกนี้อาจไม่เก่า
ถึงสมัยสุโขทัยจริงๆ และอาจเป็นของท�าในสมัยรัชกาลที่ ๔ ท�าให้
เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์โต้แย้งชี้แจงกันกระหึ่มอยู่นาน แต่ไม่ว่า
อย่างไร จารึกชิ้นนี้ก็ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น “มรดกความทรงจ�า
แห่งโลก” โดยยูเนสโกเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๖ และยังเป็นปริศนา
คาใจแก่คนที่สนใจประวัติศาสตร์อยู่เสมอ
ประวัติคนในยุคเก่าๆ มักเขียนบนก้อนหินที่สลักทรง
อย่างประณีต ไม่ใช่เอาหินขรุขระๆ มาเขียนแบบขอไปที ต่อมา
ภายหลังจึงเขียนลงบนกระดาษ
ประวัติพระมหากษัตริย์สมัยกรุงศรีอยุธยามักอยู่บนกระดาษ
ที่เรียกว่าจดหมายเหตุ ซึ่งเมื่อน�าจดหมายเหตุมาเรียงต่อกันยาวๆ
ก็เกิดเป็นพระราชพงศาวดารขึ้น
ในพระนิพนธ์ เรื่อง “ต�านานหนังสือพระราชพงศาวดาร”
ของสมเด็จฯ กรมพระยาด�ารงราชานุภาพ สมเด็จฯ ทรงกล่าวว่า
ธรรมเนียมเก่าของเรา ผู้ที่มีหน้าที่จดบันทึกเหตุการณ์ต่างๆ เก็บ
ในหอศาสตราคมคือมหาดเล็กต�าแหน่งนายเสน่ห์ กับนายสุจินดา
หุ้มแพร (ท�าไมใช้ว่าเสน่ห์หรือหุ้มแพร ยังไม่อาจค้นได้)
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒
(ครองราชย์ พ.ศ. ๒๓๕๒-๒๓๖๗) ภาพจากหอศิลป์เจ้าฟ้า
เอนก นาวิกมูล ถ่ายภาพ : หอศิลป์เจ้าฟ้า
เมษายน - มิถุนายน ๒๕๖๑ 113