Page 16 - Culture3-2016
P. 16











































๑






ดีปลีเป็นพืชท่ีมีฝักเล็กๆ เม่ือแก่จัดจะมีสีแดง ใช้ได้ทั้ง จนถึงปัจจุบัน ได้แก่ ขนมตระกูลทองทั้งหลาย ทั้งทองหยิบ 


สดและแห้ง เช่น ใส่ในผัดเผ็ด แกงป่าต่างๆ เพื่อให้รสเผ็ดฉุน ทองหยอด และฝอยทอง เป็นต้น

ใช้กันแพร่หลายในอดีต แต่เดี๋ยวน้ีอาจจะไม่ค่อยรู้จักกันแล้ว อาหารจีนเข้ามามีบทบาทมากในราชสานักมาตั้งแต่สมัย 

ชาวใต้มีคาท่ีเรียกพริกเทศท่ีเข้ามาทีหลังว่าดีปลี อาจเพราะ กรุงศรีอยุธยา ปรากฏในบันทึกของลาลูแบร์ที่เล่าถึงกับข้าว 


มีรสเผด็เช่นเดียวกับดีปลทีีม่ีมาอยู่ก่อน
ในงานเลยี้งรบัรองทกี่บัข้าวมากกว่า๓๐ชนดิปรงุตามตารบัจนี 

แสดงให้เห็นว่าอิทธิพลของอาหารจีนได้มีมาอย่างน้อยก็ตั้งแต่ 


สมยัอยุธยาแล้ว

เม่ือเข้าสู่กรุงรัตนโกสินทร์ อาหารไทยได้พัฒนาต่อยอด 

อาหารไทยแต่อดีตเป็นอาหารที่เรียบง่ายตามแต่วัตถุดิบ ขึ้นมากและได้อิทธิพลของต่างชาติมากข้ึนตามลาดับ อันจะ 


และพืชผักที่หาได้ในท้องถ่ินตามฤดูกาล เจ้านายและชาวบ้าน เห็นได้จากพระราชนิพนธ์กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานของ 

กินไม่แตกต่างกันเลย จวบจนเข้าสู่สมัยกรุงศรีอยุธยามีการรับ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ เพ่ือ 

ใช้เห่ชมฝีพระหัตถ์ในการแต่งเคร่ืองเสวยของสมเด็จพระศรี- 
เอาพืชพันธุ์จากต่างถิ่นและวัฒนธรรมต่างชาติ ผ่านการเข้ามา 

ของชาติตะวันตกเช่นโปรตุเกส ของหวานได้สร้างสรรค์ขึ้น สุริเยนทราบรมราชินี ผู้ทรงรับหน้าท่ีในกิจการด้านเครื่องต้น 

โดยท้าวทองกีบม้า (มารีอา กูโยมาร์ เด ปิญญา) ภรรยาของ พระราชนิพนธ์กล่าวถึงอาหารนานาชนิดท่ีได้รับอิทธิพลจาก 


เจ้าพระยาวิชเยนทร์ (คอนสแตนติน ฟอลคอน) ผู้มีหน้าท่ีทา อินเดีย (แกงมัสมั่น ข้าวหุงอย่างเทศ) จีน (รังนกนึ่ง ขนมจีบ) 

ขนมไปบรรณาการเจ้านายจึงต้องสรรหาและดัดแปลงวัตถดุิบ และญีป่ ุ่น (นา้ ปลาญี่ปุ่น) เป็นต้น

ที่มีในท้องถิน่มาใช้แทนวัตถดุบิแบบขนมฝรงั่มกีารใส่ไข่ในขนม ความรุ่งเรืองของอาหารไทยพัฒนาอย่างมากในยุคกรุง 


ต่างจากขนมไทยแต่โบราณ เกิดเป็นขนมไทยที่เรารู้จักกันมา
รัตนโกสินทร์ โดยเฉพาะในราชสานักดังจะเห็นได้จากตารับ


14




   14   15   16   17   18