Page 30 - CultureMag2015-2
P. 30
ผ้าขาวมา้ ของชนดา้ มขวาน ผู้หญิงก็รู้จักน�ามาใช้สอย คลุมหัวบังแดดบังลม เป็นผ้าคลุม
กนั เปอ้ื น ผา้ นงุ่ กระโจมอก แมล่ กู ออ่ นใชผ้ กู เปลแกวง่ ไกวหรอื
จ�าเป็นต้องเล่าว่า “ผ้าขาวม้า” ไม่ใช่ “สมบัติส่วนตัว” ใช้เป็นผ้าอ้อมให้ทารกก็มี เก่าแล้วยังดัดแปลงเป็นของเล่นให้
ของชาติไทย เด็กๆ กระทัง่ ขาดก็ยังใช้ท�าความสะอาดเครือ่ งใช้ เป็นผ้าขี้ริว้
ปัดฝ่นุ ถเู รอื น เปน็ พรมเช็ดเท้าไม่รูจ้ บ
แม้ชื่อเรียกยังไม่ใช่ค�าไทยแท้ด้วยซ�า้ ส่วนจะมาจาก
ค�าว่า “กามาร์บันด์” (kamarband) ในภาษาเปอร์เซีย โดย มากกว่าประโยชน์ใช้สอย ผ้าขาวม้ายังแสดงร่องรอย
“กามาร”์ หมายถงึ เอว “บนั ด”์ หมายถงึ รดั หรอื คาด (กามาร์+ ความเชื่อทชี่ าวบ้านมีต่อผืนผ้าด้วย อย่างในพิธีขึน้ บ้านใหม่
บันด์ = ผ้าคาดเอว) ซึ่งเป็นค�าเดียวกับทีใ่ ช้เรียกผ้าจีบอย่าง ก็มักใช้ผูกเสาเอกแขวนไว้ทีข่ ื่อ ป้องกันเสนียดจัญไร ขับไล่
กว้างทผี่ ู้ชายใช้คาดเอวในภาษาฮินดีไหม ยังไม่มีหลักฐาน ขโมยลักวัว ควาย เป็ด ไก่ บ้างใช้ปัดข้าวในนา เชือ่ ว่าไล่นก
ยนื ยันแน่ชดั หน ู แมลง เพลย้ี กระโดดไมใ่ หท้ �าลายขา้ ว หรอื แมแ้ ตเ่ ปน็ สมบตั ิ
ตกทอดก็มี อย่างชาวสุรินทร์จะมีผ้าขาวม้าประจ�าตระกูล
เพราะแม้แต่ภาษามลายูก็เรียกผ้าพันเอวว่า “กามาร์- เมอ่ื ส้นิ บญุ ผอู้ าวโุ สกม็ กั จะมอบตอ่ เปน็ มรดกแกล่ กู หลาน ฯลฯ
บัน” (kamarban) ไม่มีตวั “d” และภาษาอังกฤษก็เรียกผ้า
รัดเอวในชุดทักซิโดด้วยค�าทอี่ อกเสียงคล้ายกันว่า “คัมเมอร์- ว่ากันตามจริง ถึงวันนี้จะรู้ว่ากา� เนิดผ้าขาวม้ามาจาก
บันด์” (cummerbund) ยังมีบางตา� ราอ้างว่าน่าจะเพี้ยนจาก ชาติไหนคงไมส่ า� คญั แล้ว
“กามาร์” (kamar) ในภาษาอหิ รา่ นซ่งึ ใชส้ อ่ื สารกนั ในประเทศ
สเปนด้วย เพราะการอยู่ร่วมแผ่นดินไทยมานานหลายร้อยป ี
ผูกรดั หวั ใจคนไทยไปเรยี บรอ้ ยแลว้
แต่ไม่ว่าอย่างไรส�าเนียงทคี่ ล้ายคลึงในความหมาย
เดยี วกนั ก็ถือเป็นรหสั ร่วมวัฒนธรรมได้ สรรคเ์ สน้ เป็นผา้ ผืน
บ้านเรา -ภาคกลางเรียก “ผ้าขาวม้า” ส่วนผู้เฒ่าผู้แก่ ฝา้ ย ไหม ดา้ ยสังเคราะห์ คอื หวั ใจของผ้าขาวม้า
ในภาคอืน่ อาจเรียกด้วยภาษาถิน่ เขา เช่น ภาคเหนือเรียก แม้อายุการใช้งานจะมากน้อยกี่ปีขึน้ อยู่กับวิธีใช้สอย
“ผ้าตาโก้ง” ภาคอีสานเรียก “แพรขาวม้า” หรือภาคใต้เรียก แต่มูลค่าย่อมต่างตามวัสดุ ผ้าทที่ อด้วยเส้นไหมคุณภาพดีจะ
“ผา้ ขาว” “ผา้ ผลดั ” ฯลฯ มีราคาสงู ทีส่ ดุ จงึ นยิ มใช้อยา่ งทะนุถนอมคลมุ บ่า-พาดไหล่
คุณค่าจากนั้น คือนานาสีสันและลวดลายทเี่ รียงร้อย
มผี สู้ นั นษิ ฐานวา่ คนไทยเรม่ิ ใชผ้ า้ ขาวมา้ กนั ต้งั แตห่ ลาย ลงผืนผ้า ซึ่งแม้บ้านเราจะผลิตกันแทบทกุ ภาค แต่ “ขนาด
ร้อยปีมาแล้ว โดยเห็นชาวไทใหญ่ใช้โพกศีรษะก่อนจึงน�ามา ตาราง” และ “จา� นวนส”ี ของดา้ ยทอกแ็ สดงอตั ลกั ษณต์ ามถ่นิ
พลกิ แพลงเปน็ “ผา้ เคยี นเอว” เวลาเดนิ ทางไกลกด็ ดั แปลงมา อย่างภาคกลางนิยมทอลายตารางใหญ่เหมือนกัน
ห่ออาวุธ เก็บสัมภาระแทนย่าม มัดของแทนเชือก ปรู องนั่ง- ครั้นแยกทีละจังหวัดยังพบรายละเอียดต่างกันไป เช่น ชาว
นอน ม้วนหนุนแทนหมอน นุ่งอาบน�้า เช็ดร่างกาย ปัดฝุ่น- พระนครศรีอยุธยานิยมทอเป็นผืนเล็กแคบ ใช้ด้ายสองสีทอ
แมลง ซับเลือดแทนผ้าพันแผล ฯลฯ จนกลายเป็นว่าชาว สลบั ดา้ น ใหป้ ลายดา้ นยาวท้งั สองขา้ งเปน็ ลายรว้ิ สลบั ส ี ชาว
ไทใหญเ่ หน็ เราใช้ประโยชนห์ ลากหลายจึงทา� ตามอยา่ ง นครสวรรคน์ ยิ มใชฝ้ า้ ยและสดี า้ ยตดั กนั ชาวกาญจนบรุ ใี ชด้ า้ ย
สส่ี ที อสลบั กนั ชาวชยั นาทนยิ มทอดว้ ยไหมประดษิ ฐ ์ (เสน้ ใย
ยังมีร่องรอยจากจิตรกรรมในสมุดภาพไตรภูม ิ จากฝ้ายผสมโทเร) และนิยมทอเป็นลายสกอตต์ ลายทาง
สมัยกรุงศรีอยุธยา (ราวต้นพุทธศตวรรษท ี่ ๒๒) ปรากฏการ หรือลายสี่เหลี่ยม ทขี่ ึน้ ชื่อคือของต�าบลเนินขาม เรียกว่า
แต่งกายของชายอโยธยาทใี่ ช้ผ้าขาวม้าพาดบ่า คาดพุง ทัง้
คลอ้ งคอตลบห้อยชายผา้ ทั้งสองขา้ งไวด้ ้านหลัง
ยิง่ เมื่อเข้าสู่ยุครัตนโกสินทร์ (พุทธศักราช ๒๓๒๕-
ปัจจุบัน) ผ้าขาวม้าไม่ได้ถูกจ�ากัดการใช้เพียงชายอีกแล้ว
28 วัฒนธ รม