Page 54 - CultureMag2015-1
P. 54
ทาน
ค�าว่า “บุญ” กลายเป็นค�าไทยไปโดยปริยาย ทัง้ ๆ ที่ค�านี้มี บุญอย่างแรกคือการให้ “ทาน” หากเรายังมีความ
ทมี่ าจากภาษาบาลีว่า “ปญุ ฺญ” แปลว่าเครือ่ งช�าระจิตใจให้ โลภยึดติดอยู่ย่อมไม่สามารถทีจ่ ะให้ทานแก่คนอืน่ ได้ “ทาน”
สะอาดบริสุทธ ิ์ บุญจึงเป็นเครื่องก�าจัดสิง่ เศร้าหมองทเี่ รียก จงึ เป็นบุญเพราะว่ากา� จัด “ความโลภ” ลงได ้
ว่ากิเลสหรือ “บาป” ทภี่ าษาไทยขอยืมค�ามาจากภาษาบาลี
ว่า “ปาปํ” นัน่ เอง บุญกับบาปจึงเป็นสิง่ คู่กันในฐานะทบี่ ุญ เมือ่ พูดถึงประเด็นเรื่อง “บุญ” และ “ทาน” เราอาจ
เปน็ เคร่อื งกา� จดั บาป และในทางตรงกนั ขา้ มบาปกเ็ ปน็ เครอ่ื ง เคยไดย้ นิ คนโบรา่� โบราณพดู ตอ่ ๆ กนั มาวา่ “ท�าบญุ แลว้ กต็ อ้ ง
ก�าจดั บุญเชน่ กนั ท�าทานด้วยนะ” ประโยคดังกล่าวทา� ให้คนไทยส่วนใหญ่
ได้รับการปลูกฝังให้เข้าใจว่าการท�าบุญต่างจากการท�าทาน
บุญและบาปเป็นธรรมชาตทิ ีม่ ีอยู่คู่สัตว์โลก ใน กล่าวคือ การท�าบุญหมายถึงการให้แก่พระภิกษุสงฆ์
ศาสนาอ่ืนๆ กม็ คี วามเช่อื ในเรอ่ื งบญุ และบาปอยเู่ ชน่ เดยี วกนั ส่วนการทา� ทานคือการให้คนยากคนจน เด็กก�าพร้า และ
แตอ่ าจจะมคี วามเขา้ ใจและนยิ ามท่แี ตกตา่ งกนั ไปตามคา� สอน สตั ว์เดรจั ฉาน เป็นตน้
ของแต่ละศาสนา ว่าจะมีความเข้าใจในเรื่องบุญและบาปนัน้
อยา่ งไร ท้ังๆ ทีใ่ นความเป็นจริงแล้วการให้แก่พระภิกษุสงฆ์
และการให้แก่คนยากคนจนต่างก็เป็นทานกุศล คือเป็นการ
หากกลา่ วตามบรบิ ทของพระพทุ ธศาสนา การทา� บญุ ท�าบุญอย่างเดียวกัน อย่างไรก็ตามทานจะเป็นบุญมากหรือ
ทีค่ รบถ้วนสมบูรณ์ทคี่ นไทยรู้จักกันดีก็คือการท�าทาน รักษา นอ้ ยนน้ั ไมไ่ ดข้ น้ึ อยกู่ บั วา่ เราใหท้ านมากจนหมดตวั (เหมอื นท่ี
ศลี เจรญิ ภาวนา ดงั ท่พี ระคณุ เจา้ หรอื ปยู่ า่ ตายายสอนกนั ตอ่ ๆ วดั หลายวดั สอน) จงึ จะเปน็ บญุ ตรงกนั ขา้ มหากเกดิ ความโลภ
มา จนเราคุ้นหูเป็นอย่างดีว่าเป็นการทา� บุญ แต่ในปัจจุบัน ในการให้ทานเพราะหวังผลตอบแทน เช่น อยากถูกหวย
การทา� บุญทีค่ นไทยส่วนใหญ่เคยเข้าใจดีเริม่ แปรเปลี่ยนไป รวยหนุ้ อยากใหเ้ ขารวู้ า่ เราใจบญุ การกระท�าเชน่ น้ไี มเ่ ปน็ บญุ
จากการท�าบุญทเี่ คยเน้นในด้านนามธรรม หรือด้านการช�าระ หรือถ้าเป็นบุญก็ย่อมเป็นบุญทีน่ ้อยเพราะไม่ได้ก�าจัดกิเลส
ล้างจิตใจให้สะอาดกลับกลายเป็นการเน้นไปทีว่ ัตถุหรือผล คือความโลภให้ลดลงแตอ่ ย่างใด กลับยิ่งส่งเสรมิ ความโลภให้
ของบุญเช่นความสบายใจมากกว่า ซึ่งไม่ใช่ตวั บุญโดยตรง เกิดมากข้นึ จงึ ไมน่ บั เปน็ การท�าบุญในพระพุทธศาสนา
แตอ่ ยา่ งใด
นอกจากนี้ในสังคมไทยยังเน้นการให้ทานด้วยวัตถุ
แทจ้ รงิ แลว้ ส่งิ ท่ีเรยี กวา่ “บญุ ” กค็ อื ความสามารถใน เสยี มาก แตต่ ามหลกั พระพทุ ธศาสนาน้นั นอกจากการใหท้ าน
การก�าจัดความชัว่ ของมนุษย์ทีม่ ีอยู่สามอย่าง คือ ความโลภ ด้วยทรัพย์แล้วยังมีการให้ทานโดยไม่ต้องเสียเงินและมี
ความโกรธ และความหลง หรอื เรยี กเปน็ ภาษาบาลวี า่ “โลภะ อานิสงส์มากกว่าการใหว้ ัตถทุ าน นัน่ คอื การให ้ “อภยั ทาน”
โทสะ โมหะ”
การใหอ้ ภยั นน้ั เปน็ ทานท่ยี ่งิ ใหญก่ วา่ วตั ถทุ าน เพราะ
นอกจากเปน็ การสละความโลภหรอื โลภะแลว้ การใหอ้ ภยั ทาน
ยงั เปน็ การสละความโกรธหรอื โทสะเพม่ิ ข้นึ อกี ดว้ ย สว่ นทาน
ท่มี อี านสิ งสม์ ากท่ีสดุ กค็ อื “ธรรมทาน” หรอื การใหธ้ รรมะและ
ความรู้ทไี่ ม่มีโทษ ท�าให้คนเกิดปัญญา นับเป็นบุญสูงทสี่ ุด
เพราะท�าลายโมหะหรอื ความโงง่ มงายออกไปได้ พระพทุ ธเจา้
จึงตรัสยกย่องการให้ธรรมทานเป็นภาษาบาลีว่า “สพฺพทาน�
ธมฺมทาน� ชินาติ” ซึ่งแปลว่า “การให้ธรรมะเป็นทานชนะ
การให้ทงั้ ปวง” เพราะปัญญาก็คือหัวใจของพระพุทธศาสนา
น่นั เอง
52 วฒั นธ รม