Page 37 - may53

Basic HTML Version

๓๕
ธนบุ
รี
-น้ำ
�ตก จั
งหวั
ดกาญจนบุ
รี
และพบที่
ทุ่
งผั
กหวาน ตำ
�บล
ท่
าขนุ
น อำ
�เภอทองผาภู
มิ
จั
งหวั
ดกาญจนบุ
รี
เป็
นต้
นชนิ
ดว่
ขุ
ดดิ
นตรงใหนก็
พบถิ่
นของมนุ
ษย์
ใต้
ดิ
ในสมั
ยสงครามโลกครั้
งที่
สอง เชลยศึ
กชาวฮอลั
นดา
ชื่
อ ดร. แวน ฮิ
กเกอรแรน ซึ่
งถู
กญี่
ปุ่
นจั
บมาทำ
�งานเป็
กรรมกรสร้
างทางรถไฟสายมรณะ ที่
จั
งหวั
ดกาญจนบุ
รี
ได้
พบเครื่
องมื
อหิ
นของมนุ
ษย์
โบราณที่
ริ
มแม่
น้ำ
�แควน้
อย ใกล้
สถานี
รถไฟบ้
านเก่
า ห่
างจากตั
วจั
งหวั
ดกาญจนบุ
รี
ขึ้
นไปทาง
ตะวั
นออกเฉี
ยงเหนื
อราว ๓๕ ไมล์
จึ
งได้
เขี
ยนรายงานเผย
แพร่
ต่
อมาหลั
งสงครามโลกครั้
งที่
๒ ได้
มี
นั
กประวั
ติ
ศาสตร์
ทั้
งชาวไทยและต่
างประเทศ มาศึ
กษาเรื่
องสมั
ยก่
อน
ประวั
ติ
ศาสตร์
ในประเทศไทยหลายคณะ เช่
น คณะของ
ประเทศเดนมาร์
ค ของมหาวิ
ทยาลั
ยฮาวาย และมหาวิ
ทยาลั
เพนซิ
ลเวเนี
ย ประเทศสหรั
ฐอเมริ
กาเป็
นต้
น การพบเรื่
อง
มนุ
ษย์
ก่
อนประวั
ติ
ศาสตร์
ที่
บ้
านเก่
านั้
น ได้
ตั้
งชื่
อ เรี
ยกเฉพาะ
ว่
า วั
ฒนธรรมฟิ
งนอยเอี
ยน โดยนำ
�คำ
�ว่
า “แควน้
อย” ที่
ชาวต่
างประเทศเรี
ยกว่
า แฟน้
อย หรื
อ ฟิ
งนอย มาตั้
งชื่
วั
ฒนธรรมของมนุ
ษย์
หิ
นเก่
าที่
พบในจั
งหวั
ดกาญจนบุ
รี
นั่
นเอง
ในยุ
คหิ
นเก่
าพบว่
าได้
มี
การเลี้
ยงสั
ตว์
ขึ้
นในภาคอี
สาน
ซึ่
งสำ
�รวจพบโครงกระดู
กวั
ว กรามของหมู
ที่
แหล่
งโบราณคดี
บ้
านโนนนกทา พบกระดู
กหมาที่
แหล่
งโบราณคดี
ที่
บ้
านเชี
ยง
เป็
นหลั
กฐานว่
าชุ
มชนนี้
มี
การเลี้
ยงวั
ว เลี้
ยงควาย เลี้
ยงหมู
เลี้
ยงหมา ข้
อสงสั
ยเรื่
องหมา เกิ
ดขึ้
นทั
นที
ว่
า หมานั้
นเป็
นสั
ตว์
เลี้
ยงชนิ
ดเดี
ยวที่
ไม่
ได้
มี
ในพื้
นที่
ด้
วยเป็
นสั
ตว์
ที่
นำ
�จากที่
แห่
อื่
น (ไม่
รู้
ว่
ามาจากอิ
นเดี
ยหรื
อจี
น) นำ
�มาเลี้
ยงเมื่
อ ๒,๕๐๐-
๓,๖๐๐ ปี
มาแล้
ว วิ
ธี
ล่
าสั
ตว์
ที่
พบปรากฏว่
า การล่
าสั
ตว์
ดั
กสั
ตว์
และจั
บสั
ตว์
น้ำ
� ได้
ทำ
�กั
นมากเมื่
อ ๕,๖๐๐-๓,๖๐๐ ปี
มา
แล้
ว ช่
วงเวลาที่
ถั
ดมาตั้
งแต่
๓,๖๐๐-๒,๐๐๐ ปี
มาแล้
ว มนุ
ษย์
ยั
งออกล่
าสั
ตว์
และจั
บสั
ตว์
น้ำ
�อยู่
แต่
ลดจำ
�นวนลง ด้
วยเหตุ
ที่
มนุ
ษย์
ในระยะนั้
นมี
ความเป็
นอยู่
ดี
ขึ้
นโดยมี
ห้
วยหนองคลอง
บึ
งเป็
นแหล่
งบริ
โภคและสามารถใช้
น้ำ
�ปลู
กข้
าวที่
มี
ผลผลิ
เพี
ยงพอ จึ
งไม่
จำ
�เป็
นต้
องล่
าสั
ตว์
หรื
อออกดั
กสั
ตว์
จั
บปลา
กั
นอย่
างเดิ
ม จะมี
บ้
างก็
พื้
นที่
ไกลน้ำ
� ประกอบกั
บเป็
นระยะ
เวลาที่
สิ่
งแวดล้
อมถู
กทำ
�ลาย ทำ
�ให้
สั
ตว์
ป่
าพากั
นอพยพหา
แหล่
งทำ
�กิ
นใหม่
เครื่
องมื
อเครื่
องใช้
ในสั
งคมล่
าสั
ตว์
และสั
งคม
กสิ
กรรมนั้
น พบว่
ามี
การพั
ฒนาเครื่
องมื
อทางด้
านเทคโนโลยี
(TECHNOLOGY)
กล่
าวคื
อสั
งคมกสิ
กรรมยุ
คแรกนั้
นมี
การใช้
เครื่
องมื
อหิ
นคื
อขวานหิ
นขั
ด ซึ่
งอาจมี
เครื่
องมื
อสำ
�ริ
ดปนอยู่
บ้
าง ซึ่
งต่
อมาได้
มี
เครื่
องมื
อที่
ทำ
�ด้
วยสำ
�ริ
ดและเมื่
อมี
การทำ
เครื่
องมื
อด้
วยเหล็
ก โลหะผสมสำ
�ริ
ดจึ
งถู
กนำ
�ไปใช้
ทำ
�เครื่
อง
ประดั
บและพิ
ธี
กรรมทางศาสนาแทน เช่
น กำ
�ไล แหวน ตุ้
มหู
ห่
วงสำ
�ริ
ด เครื่
องราง เป็
นต้
เครื่
องมื
อหิ
นและเครื่
องมื
อสำ
�ริ
ดแต่
ละชิ้
นงาน เป็
หลั
กฐานของการเป็
นภู
มิ
บ้
านภู
มิ
เมื
องที่
สามารถบอกลั
กษณะ
เฉพาะถิ่
นได้
อย่
างดี
หากมนุ
ษย์
ปั
จจุ
บั
นจะไม่
เที่
ยวขุ
ดทำ
�ลาย-
ย้
ายที
จนมั
วไปหมด..เลยไม่
รู
ของดี
ประจำ
�ถิ
นนั
นเป็
นอย่
างไรกั
ตามรอย..วิ
ธี
ปลู
กข้
าวของชาวอี
สานในยุ
คก่
อน
การเดิ
นทางไปอี
สานวั
นนี้
ไม่
เหมื
อนก่
อนเพราะเกิ
ความสะดวกสบายชนิ
ดเลี้
ยวขวาสระบุ
รี
แล้
วก็
ออกไปแถว
นครราชสี
มาได้
รวดเร็
ว ถิ่
นโคราชนั้
นถื
อว่
าเป็
นบ้
านเมื
อง
สุ
ดท้
ายของอาณาจั
กรสยามก่
อนไปสู่
ดิ
นแดนที่
ครั้
งหนึ่
ทั้
งลาวและขอมเคยมี
อิ
ทธิ
พลอยู่
ด้
วยความที่
เป็
นแอ่
เกษตรกรรมโบราณทั้
งอี
สานบนและอี
สานล่
างนั้
นจี
งทำ
�ให้
สนใจถึ
งแหล่
งภู
มิ
บ้
านภู
มิ
เมื
องแถบนี้
มาก แม้
ว่
าครั้
งหนึ่
พื้
นที่
อี
สานเคยแห้
งแล้
งใต้
ดิ
นแตกระแหงจนกิ
นดิ
นกิ
นเกลื
กั
นนั้
น ปั
จจุ
บั
นได้
กลายเป็
นแหล่
งเกษตรสมบู
รณ์
ตามอย่
าง
แผ่
นดิ
นในอดี
นานมากแล้
วที่
รู้
กั
นว่
าชุ
มชนของสั
งคมกสิ
กรรมนั้
อุ
ดมสมบู
รณ์
อยู่
ในภาคอิ
สาน เป็
นชุ
มชนที่
เริ่
มต้
นเพาะปลู
และเลี้
ยงสั
ตว์
มาก่
อนก็
ประมาณกว่
า ๕,๐๐๐ ปี
มาแล้
ว เพราะ
มนุ
ษย์
ถิ่
นนี้
รู้
จั
กการเกษตรขึ้
นเองโดยไม่
ได้
รั
บอิ
ทธิ
พลมาจาก
ภายนอก ชุ
มชนแถบนี้
นอกจากจะรู้
วิ
ธี
การเพาะปลู
ก เลี้
ยงสั
ตว์
แล้
ว ยั
งรู้
จั
กค้
าขายแลกเปลี่
ยนสิ
นค้
าด้
วย แล้
วยั
งมี
การแยก
แรงงานออกมาทำ
�อาชี
พเฉพาะอี
ก เช่
น ช่
างปั้
นภาชนะดิ
เผา ช่
างทอผ้
า ช่
างทำ
�เครื่
องมื
อจากโลหะ ช่
างทองเหลื
อง
ช่
างสำ
�ริ
ด เป็
นต้
นโดยทั้
ง ชาวนาและพวกเลี้
ยงสั
ตว์
นั้
นจะ
ใช้
เวลาส่
วนใหญ่
อยู่
กั
บงานช่
างเหล่
านี้
การเพาะปลู
กกั
นในชุ
มชนเกษตรสมบู
รณ์
ภาคอี
สาน
นั
นส่
วนใหญ่
นิ
ยมปลู
กข้
าว ซึ
งได้
พบแหล่
งโบราณคดี
ที
บ้
าน
โนนนกทาและบ้
านเชี
ยง ให้
ศึ
กษารู
ได้
ว่
า ได้
มี
วิ
ธี
ปลู
กข้
าวแบบ
เลื่
อนลอย
(SWIDDEN RICE CULTIVATION)
เกิ
ดขึ
นเอง
แต่
ละช่
วงปี
นั
นจะอาศั
ยน้
�จากฝนและพื
นดิ
นที
อุ
ดมสมบู
รณ์
โดยหว่
านเมล็
ดข้
าวลงไป ไม่
มี
การพรวนหรื
อไถดิ
น (หรื
ออาจ
จะมี
การขุ
ดไถก็
ได้
) เมื่
อปลู
กข้
าวได้
สั
กปี
สองปี
ก็
หาที
ดิ
นใหม่
เนื่
องจากดิ
นขาดความอุ
ดมสมบู
รณ์
เหมื
อนเที
ยวเร่
ร่
อนทำ
�นา
ปลู
กข้
าวไปตามที
ต่
างๆ วนเวี
ยนไปรอบๆ ที
อยู
อาศั