๒๔
เริ่
มจากวั
ดสวนดอกวิ่
งไปตามถนนสุ
เทพ ผ่
านวั
ดผาลาด
ไปยั
งพระธาตุ
ดอยสุ
เทพ ซึ่
งในตอนแรกที่
ทำ
�ถนนเป็
น
ถนนดิ
นลู
กรั
ง ต่
อมามี
การปรั
บปรุ
งเป็
นถนนลาดยางใน
ปี
๒๕๒๔ เมื่
อพระธาตุ
ดอยสุ
เทพเป็
นเขตอุ
ทยานแห่
ง
ชาติ
ตามเส้
นทางระหว่
างถนนศรี
วิ
ชั
ย ไปยั
งวั
ดพระธาตุ
ดอยสุ
เทพ พระครู
บาศรี
วิ
ชั
ยและชาวพุ
ทธได้
ร่
วมกั
น
สร้
างวั
ดขึ้
นอี
ก ๓ วั
ด คื
อ วั
ดโสดาบรรณ หรื
อวั
ดศรี
โสดา
วั
ดสั
กกิ
นาคา ปั
จจุ
บั
นเป็
นที่
ตั้
งของโครงการควบคุ
มไฟป่
า
ภู
พิ
งค์
และวั
ดอนาคามี
โดยวั
ดสั
กกิ
นาคาและวั
ดอนาคามี
ถู
กทำ
�ลายไปแล้
ว
พระครู
บาศรี
วิ
ชั
ยได้
เปรี
ยบการเดิ
นทางขึ้
นวั
ด
พระธาตุ
ดอยสุ
เทพไว้
ว่
าเป็
นเสมื
อนการเดิ
นทางไปสู่
การ
ตรั
สรู้
เป็
นพระอรหั
นต์
ของพระสั
มมาสั
มพุ
ทธเจ้
า โดย
เปรี
ยบเที
ยบวั
ดพระธาตุ
ดอยสุ
เทพ คื
อวั
ดอรหั
นต์
จากการที่
มี
ถนนศรี
วิ
ชั
ยแล้
วนั้
น เส้
นทางตั้
งแต่
อดี
ตที่
พระเจ้
ากื
อนาได้
ใช้
เดิ
นขึ้
นไปนมั
สการพระธาตุ
ดอยสุ
เทพ จึ
งไม่
มี
ใครใช้
ทุ
กคนจึ
งหั
นมาใช้
เส้
นทางถนน
ศรี
วิ
ชั
ยแทน แต่
ประเพณี
การเดิ
นขึ้
นนมั
สการพระธาตุ
ดอยสุ
เทพในวั
นวิ
สาขบู
ชายั
งคงมี
อยู่
แต่
ได้
เปลี่
ยนแปลง
ไปจากเดิ
มที่
เคยเดิ
นขึ้
นไปตามถนนที่
พระเจ้
ากื
อนาได้
เสี่
ยงทายช้
าง เปลี่
ยนมาเป็
นทางถนน เริ่
มที่
ตอนเย็
น
ของวั
นขึ้
น ๑๔ ค่ำ
� เดื
อน ๖ เรื่
อยไปจนถึ
งเช้
าของวั
นขึ้
น
๑๕ ค่ำ
� เดื
อน ๖ พุ
ทธศาสนิ
กชนที่
เปี่
ยมด้
วยศรั
ทธาจาก
ทั่
วทุ
กสารทิ
ศจะทยอยกั
นมาอย่
างมาก
พระธาตุ
ดอยสุ
เทพเป็
นสถานที่
ประดิ
ษฐาน
พระบรมสารี
ริ
กธาตุ
เจดี
ย์
ทุ
กปี
ในคื
นก่
อนวั
นวิ
สาขบู
ชา
(เย็
นวั
นที่
๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๓ เวลาตั้
งแต่
๑๘.๐๐ น.
เป็
นต้
นไป) ซึ่
งในปี
นี้
วั
นวิ
สาขบู
ชาจะตรงกั
บ วั
นที่
๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ชาวจั
งหวั
ดเชี
ยงใหม่
และ
จั
งหวั
ดใกล้
เคี
ยง รวมถึ
งนั
กท่
องเที่
ยว ก็
จะรวมตั
วกั
น
เพื่
อตั้
งขบวนเดิ
นทาง ระยะทางประมาณ ๑๔ กิ
โลเมตร
ลั
กษณะการเดิ
นทางจะเดิ
นด้
วยเท้
า ถื
อประที
ป
ธู
ปเที
ยน เป็
นริ้
วขบวนประกอบด้
วย พระสงฆ์
เดิ
น
นำ
�หน้
าสวดมนต์
และประชาชนเดิ
นตามหลั
ง โดย
เริ่
มขบวน ณ วั
ดโสดาบรรณ หรื
อ วั
ดศรี
โสดา และ
นมั
สการวั
ดสั
กกิ
นาคม และวั
ดอนาคามี
และเดิ
นทางขึ้
น
ไปนมั
สการวั
ดพระธาตุ
ดอยสุ
เทพหลั
งจากนั้
นก็
บำ
�เพ็
ญ
ศี
ลวิ
ปั
สสนา ทำ
�บุ
ญตั
กบาตรในเช้
าวั
นรุ่
งขึ้
น แล้
วจึ
ง
เดิ
นทางกลั
บ จึ
งถื
อว่
าได้
อานิ
สงส์
แรง หรื
อได้
ทำ
�บุ
ญมาก
ในสมั
ยก่
อนที่
มี
การเดิ
นขึ้
นดอยสุ
เทพกั
น อาจจะ
เป็
นเฉพาะผู้
ที่
ต้
องการจะขึ้
นไปทำ
�บุ
ญ ยกเว้
นชาวเขา
เชื่
อว่
าสมั
ยก่
อนคนเชี
ยงใหม่
คงจะไม่
มี
ใครเดิ
นขึ้
น
ดอยสุ
เทพไปเพื่
อเที่
ยวหรื
อพั
กผ่
อน จะขึ้
นไปก็
ต่
อเมื่
อไป
ทำ
�บุ
ญเท่
านั้
น จนกระทั่
งมี
การตั้
งเป็
นอุ
ทยานแห่
งชาติ
มี
การอำ
�นวยความสะดวกและมี
การประชาสั
มพั
นธ์
จึ
ง
ทำ
�ให้
คนเชี
ยงใหม่
โดยเฉพาะวั
ยรุ่
นหนุ่
มสาว นิ
ยมขึ้
นไป
วั
ดพระธาตุ
ดอยสุ
เ ทพ เพื่
อพั
กผ่
อนตามน้ำ
�ตก
จุ
ดชมวิ
วต่
างๆ โดยใช้
รถยนต์
และรถจั
กรยานยนต์
เป็
น
พาหนะแทนการเดิ
นเท้
า ซึ่
งก็
ถื
อว่
ายั
งมี
ศรั
ทธาอยู่
แต่
สิ่
งที่
ไม่
สมควรคื
อ บรรดาวั
ยรุ่
นบางคนกลั
บขึ้
นดอย
ด้
วยความสนุ
กสนานเฮฮา
ดื่
มสุ
รา ส่
งเสี
ยงดั
ง เล่
น
ดนตรี
ก่
อความเดื
อดร้
อน
รำ
�คาญให้
กั
บผู
้
อื
่
น ไม่
ได้
ขึ
้
นไปเพื
่
อทำ
�บุ
ญเหมื
อนใน
สมั
ยก่
อน จึ
งเป็
นเรื
่
องที
่
น่
า
เสี
ยดาย หากคนเชี
ยงใหม่
ไม่
ช่
วยกั
นธำ
�รงรั
กษาประเพณี
ที
่
แสดงออกถึ
งความศรั
ทธาใน
พระพุ
ทธศาสนา และความ
งดงามที
่
คนรุ
่
นก่
อนได้
สื
บทอด
กั
นมา