สั
งคมไทยเรานั้
นมี
วั
ฒนธรรมการเรี
ยกชื่
อบ้
าน
นามเมื
องสื
บต่
อกั
นมาด้
วยวิ
ธี
ต่
างๆ เพื่
อให้
เป็
นที่
จดจำ
�ง่
าย
ได้
แต่
การเรี
ยกชื่
อตามลั
กษณะภู
มิ
ประเทศ รวมทั้
งสิ่
งที่
เห็
นอย่
างโดดเด่
นเพราะมี
อุ
ดมในถิ่
นไม่
ว่
าจะเป็
นพื
ชพั
นธุ์
ไม้
ตลอดจนสิ
งสาราสั
ตว์
ต่
าง ๆ ชื่
อบ้
านนามเมื
องจึ
งเป็
น
เสมื
อนการบั
นทึ
กเรื่
องราวสภาพแวดล้
อม ของสั
งคม
ท้
องถิ่
นนั้
นๆ แม้
ว่
าต่
อมาจะมี
การพั
ฒนาการเปลี่
ยนแปลง
สภาพแวดล้
อมไป แต่
ชื่
อบ้
านนามเมื
องที่
ยั
งเรี
ยกขานกั
น
อยู่
ก็
สามารถใช้
เป็
นปู
มตำ
�นาน ให้
คนรุ่
นหลั
งสามารถสื
บ
สาวราวเรื่
องของวิ
ถี
ชี
วิ
ตในอดี
ตได้
อย่
างดี
บั
ว
เป็
นพื
ชไม้
น้ำ
�ที่
มี
คุ
ณค่
าทั้
งความงามและคุ
ณ
ประโยชน์
นานั
ปการ คติ
ทางพุ
ทธศาสนายกย่
องว่
า บั
ว มี
กำ
�เนิ
ดอั
นศั
กดิ์
สิ
ทธิ์
เป็
นดอกไม้
ทิ
พย์
และเป็
นสั
ญลั
กษณ์
แห่
งพระศาสนา สั
งคมไทย สั
งคมแห่
งพระพุ
ทธศาสนา
และได้
ชื่
อว่
าเป็
นชาติ
ที่
นิ
ยมบั
ว บั
ว จึ
งเป็
นมงคลนามที่
จะนำ
�มาเป็
นชื่
อบ้
านนามเมื
องได้
อย่
างเหมาะสม
บ้
านเมื
องบางแห่
งมี
ประวั
ติ
ตำ
�นานและเรื่
องราวที่
สั
มพั
นธ์
กั
บบั
วโดยตรง บั
วจึ
งปรากฏเป็
นทั้
งความหมาย
ของชื่
อบ้
านนามเมื
อง รวมทั้
งได้
รั
บการนำ
�มาเป็
นองค์
ประกอบในตราสั
ญลั
กษณ์
ประจำ
�ถ้
องถิ่
นต่
างๆ อย่
างสง่
า
ภาคภู
มิ
เรื่
องราวของบ้
านเมื
องที่
บั
วเป็
นองค์
ประกอบแห่
ง
นาม สั
ญลั
กษณ์
และประวั
ติ
ความเป็
นมามี
ดั
งนี้
ฤดี
รั
ตน์
กายราศ...เรื่
อง
จั
งหวั
ดปทุ
มธานี
เดิ
มเป็
นชุ
มชนชื่
อว่
า บ้
าน
สามโคก ที่
ตั้
งบ้
านเมื
องของชาวรามั
ญ ซึ่
งอพยพมา
พึ่
งพระบรมโพธิ
สมภารหลายละลอกตั้
งแต่
สมั
ยอยุ
ธยา
จนถึ
งรั
ตนโกสิ
นทร์
พระบาทสมเด็
จพระพุ
ทธเลิ
ศหล้
า
นภาลั
ยทรงมี
น้ำ
�พระทั
ยเมตตาและห่
วงใยต่
อครอบครั
ว
ชาวรามั
ญเหล่
านี้
ยิ่
งนึ
กถึ
งกั
บเสด็
จพระราชดำ
�เนิ
นโดย
ชลมารคเพื่
อทรงเยี่
ยมเยี
ยน ดู
แลทุ
กข์
สุ
ข ครั้
งนั้
นชาว
รามั
ญทั้
งปวงต่
างพร้
อมใจกั
นเข้
ารั
บเสด็
จด้
วยความจงรั
ก
ภั
กดี
ในมื
อของพระองค์
มี
ดอกบั
วหลวงที่
ตั้
งใจนำ
�มา
น้
อมเกล้
าฯ พระราชทานนามเมื
องใหม่
ให้
เป็
นสิ
ริ
มงคล
ว่
า ปทุ
มธานี
แต่
นั้
นมา
จั
งหวั
ดอุ
บลราชธานี
ที่
ชาวเมื
องเรี
ยกขานชื่
อบ้
าน
นามเมื
องของตนด้
วยความภาคภู
มิ
ใจว่
าเมื
องแห่
งดอกบั
ว
งาม แผนภู
มิ
ของเมื
องก็
มี
สั
ณฐานคล้
ายดอกบั
วตู
ม
อุ
บลราชธานี
มี
ประวี
ติ
บ้
านเมื
อง เกี่
ยวเนื่
องกั
บดอกบั
วว่
า
เมื่
อครั้
นบรรพบุ
รุ
ษตั้
งถิ่
นฐานที่
เมื
อง หนองบั
วลำ
�ภู
หรื
อ
นครเขื่
อนขั
นธ์
กาบแก้
วบั
วบาน นครอิ
สระอยู่
ทางทิ
ศใต้
ของนครเวี
ยงจั
นทน์
ได้
ถู
กกองทั
พเวี
ยงจั
นทน์
รุ
กราน จน
ต้
องอพยพครอบครั
วเข้
ามาพึ่
งพระบรมโพธิ
สมภารใน
พระบาทสมเด็
จพระพุ
ทธยอดฟ้
าจุ
ฬาโลกมหาราช ขอตั้
ง
หลั
กปั
กฐานอยู่
ที่
บ้
านห้
วยแจระแม ได้
ทรงโปรดเกล้
าฯ ให้
ยกฐานะขึ้
นเป็
นเมื
องประเทศราชชื่
อ เมื
องอุ
บลราชธานี
มี
พระปทุ
มวรราชสุ
ริ
ยวงศ์
เป็
นผู้
ครองเมื
องคนแรก ดั
งนั้
น
ตามสั
ญลั
กษณ์
ประจำ
�จั
งหวั
ดจึ
งเป็
นรู
ปสระน้ำ
�ที่
อุ
ดมด้
วย
วั
ฒนธรรมภาษา
๒๖