Page 26 - mar53

Basic HTML Version

ลี
ลาท่
ารำ
�ตลอดเพลงช่
วงสุ
ดท้
ายจะผิ
ดแปลกแตกต่
างกั
บเชิ
ดฉิ่
เพราะท่
าเป็
นเชิ
ดฉิ่
งธรรมดานั้
น ฝ่
ายหนึ่
งเป็
นผู้
แผลงแต่
ผู้
เดี
ยว
แต่
เชิ
ดฉิ่
งศรทระนงนั้
นต่
างคนต่
างแผลงสุ
ดแล้
วแต่
ใครจำ
�มี
ความชำ
�นาญแม่
นยำ
�กว่
ากั
น อย่
างเช่
นตอนทศกั
ณฐ์
ถู
กพระราม
แผลงศรแขน ขา ขาดแต่
พระรามไม่
ถู
กศรของทศกั
ณฐ์
เลยอย่
าง
นี้
เป็
นต้
เชิ
ดฉิ่
งศรทระนงนี้
ผู้
ที่
จะรำ
�ได้
คื
อผู้
แสดงเป็
นพระราม
กั
บทศกั
ณฐ์
เท่
านั้
น ซึ่
งจะรำ
�เชิ
ดฉิ่
งศรทระนงในขณะที่
แผลงศร
ไปถู
กทศกั
ณฐ์
ขาดเศี
ยร ขาดกร โดยมี
ท่
ารำ
�เป็
นสามลี
ลาด้
วย
กั
น ซึ่
งเรี
ยกตามภาษานาฏศิ
ลป์
ว่
า ตั
วหนึ่
ง ตั
วสอง และตั
สาม เมื่
อรำ
�ครบสามตั
วแล้
วก็
แผลงศรออกไป พระรามแผลง
ทศกั
ณฐ์
แผลง ตามภาษานาฏศิ
ลป์
นี้
จะเรี
ยกกั
นรู้
ในวงการ
ว่
า “ศรประจั
น” และข้
อสำ
�คั
ญเวลาบรรเลงนั
กดนตรี
ต้
อง
ถื
อเอาผู้
รำ
�เป็
นใหญ่
ต้
องคอยสั
งเกตดู
ว่
าจะถึ
งตอนแผลงศร
หรื
อยั
ง พอถึ
งก็
จะต้
องเปลี่
ยนการบรรเลงเป็
นเพลงเชิ
ดทั
นที
โดยยั
นว่
าเป็
นเสี
ยงของลู
กศรที่
กำ
�ลั
งวิ่
งไปทางอากาศพอถึ
เป้
าหมายก้
อเปลี่
ยนเป็
นรั
วแล้
วเชิ
ดฉิ่
งก็
จะเป็
นเชิ
ดกลอง เพลงนี้
ต้
องฟั
งจั
งหวะกลองทั
ดเป็
นหลั
กโดยกลองจะรั
วติ
ดๆ กั
เชิ
ดฉาน ใช่
ได้
เฉพาะตั
วแสดงที่
เป็
นพระ เช่
นพระราม
ในเรื่
องรามเกี
ยรติ์
หย่
าหรั
นในเรื่
องอิ
เหนา โอกาสที่
จะใช้
ตอน
พระรามตามกวาง และหย่
าหรั
นตามนกยู
ง ตอนอื่
นๆไม่
ปรากฏ ผู้
เขี
ยนคิ
ดว่
าผู้
อ่
านคงเคยได้
ยิ
นได้
ดู
กั
นบ้
างแล้
ว ณ โรงละครแห่
ชาติ
ทางสถานี
วิ
ทยุ
ทาทั
ศน์
หรื
อทางอื่
นๆ
เชิ
ดนอก เป็
นพาทย์
ประกอบการแสดงใช้
กั
บตั
วละครที่
เป็
นลิ
ง คื
อหนุ
มาน ตอนหนุ
มานไล่
จั
บนางสุ
พรรณมั
จฉาและไล่
จั
บนางเบญจกาย เพลงเชิ
ดนอกนี้
ครู
อาจารย์
ได้
กำ
�หนดท่
ารำ
ไว้
ใหญ่
ๆ จำ
�นวน ๓ ท่
า ท่
าหนึ่
งเรี
ยกว่
า “ท่
าสู
ง” ท่
าที่
สองเรี
ยก
ว่
า “ท่
าจั
บข้
างหน้
า” ท่
าที่
สามเรี
ยกว่
า “ท่
าพนม” (เฉพาะในตอน
หนุ
มานจั
บนางสุ
พรรณมั
จฉา) การบรรเลงเพลงนี
ต้
องยึ
ดผู
รำ
�เป็
หลั
ก และเวลาแสดงต้
องมี
ปี่
ในเป่
า เรี
ยกว่
า เดี่
ยวปี่
เชิ
ดนอก แต่
ถ้
าไม่
มี
ปี่
ใช้
ระนาดบรรเลงเพลงก็
ได้
เรี
ยกว่
า เดี่
ยว ระนาดเอก
เชิ
ดนอก เมื่
อหนุ
มานจั
บท่
าที่
สามได้
ผู้
เป่
าปี่
หรื
อผู้
เดี่
ยว ระนาด
เอกจะต้
องเป่
าหรื
อตี
ให้
ตรงกั
บคำ
�ว่
า “ฉวยตั
วให้
ติ
ดตี
ให้
ตาย”
จากนั้
นวงปี่
พาทย์
ทั้
งวงจะรั
บเป็
นเพลง “เตี
ยวหรื
อเกลี
ยว” แล้
ออกบรรเลงเพลงเชิ
แต่
มาสมั
ยปั
จจุ
บั
นได้
มี
การเปลี่
ยนแปลงจากเดิ
ผู
บรรเลงจะต้
องดู
คนรำ
�และบรรเลงให้
สอดคล้
องกั
บท่
ารำ
แต่
เดี๋
ยวนี้
ผู้
รำ
�จะต้
องรำ
�ให้
สอดคล้
องกั
บผู้
บรรเลง โดย
ดนตรี
จะบรรเลงไปในท่
าหนึ่
งท่
าใด (คื
อ ท่
าหนึ่
ง สอง หรื
สาม) ผู้
แสดงจะต้
องรำ
�ให้
ทั
น วั
ตถุ
ประสงค์
ที่
ทำ
�เช่
นนี้
ดู
เหมื
อนเพื่
อที่
ตะโชว์
ฝี
มื
อนั
กดนตรี
เป็
นสำ
�คั
ญ ผู้
รำ
�ถื
อเป็
ส่
วนประกอบเท่
านั้
นเอง
เสมอสามลา เป็
นเพลงหน้
าพาทย์
สู
งเพลงหนึ่
งใช้
เฉพาะ
แต่
ในการโขนเท่
านั้
น และตั
วที่
แสดงต้
องใช้
เพลงนี้
ต้
องเป็
นผู้
สู
ศั
กดิ์
พอสมควร เช่
น พระใหญ่
(พระราม, พระลั
กษณ์
) ยั
กษ์
ใหญ่
(สหั
สเดชะทศกั
ณฑ์
) หรื
อมิ
ฉะนั้
นต้
องเป็
นยั
กษ์
อุ
ปราช เช่
นกุ
มภ
๒๔