ลี
ลาท่
ารำ
�ตลอดเพลงช่
วงสุ
ดท้
ายจะผิ
ดแปลกแตกต่
างกั
บเชิ
ดฉิ่
ง
เพราะท่
าเป็
นเชิ
ดฉิ่
งธรรมดานั้
น ฝ่
ายหนึ่
งเป็
นผู้
แผลงแต่
ผู้
เดี
ยว
แต่
เชิ
ดฉิ่
งศรทระนงนั้
นต่
างคนต่
างแผลงสุ
ดแล้
วแต่
ใครจำ
�มี
ความชำ
�นาญแม่
นยำ
�กว่
ากั
น อย่
างเช่
นตอนทศกั
ณฐ์
ถู
กพระราม
แผลงศรแขน ขา ขาดแต่
พระรามไม่
ถู
กศรของทศกั
ณฐ์
เลยอย่
าง
นี้
เป็
นต้
น
เชิ
ดฉิ่
งศรทระนงนี้
ผู้
ที่
จะรำ
�ได้
คื
อผู้
แสดงเป็
นพระราม
กั
บทศกั
ณฐ์
เท่
านั้
น ซึ่
งจะรำ
�เชิ
ดฉิ่
งศรทระนงในขณะที่
แผลงศร
ไปถู
กทศกั
ณฐ์
ขาดเศี
ยร ขาดกร โดยมี
ท่
ารำ
�เป็
นสามลี
ลาด้
วย
กั
น ซึ่
งเรี
ยกตามภาษานาฏศิ
ลป์
ว่
า ตั
วหนึ่
ง ตั
วสอง และตั
ว
สาม เมื่
อรำ
�ครบสามตั
วแล้
วก็
แผลงศรออกไป พระรามแผลง
ทศกั
ณฐ์
แผลง ตามภาษานาฏศิ
ลป์
นี้
จะเรี
ยกกั
นรู้
ในวงการ
ว่
า “ศรประจั
น” และข้
อสำ
�คั
ญเวลาบรรเลงนั
กดนตรี
ต้
อง
ถื
อเอาผู้
รำ
�เป็
นใหญ่
ต้
องคอยสั
งเกตดู
ว่
าจะถึ
งตอนแผลงศร
หรื
อยั
ง พอถึ
งก็
จะต้
องเปลี่
ยนการบรรเลงเป็
นเพลงเชิ
ดทั
นที
โดยยั
นว่
าเป็
นเสี
ยงของลู
กศรที่
กำ
�ลั
งวิ่
งไปทางอากาศพอถึ
ง
เป้
าหมายก้
อเปลี่
ยนเป็
นรั
วแล้
วเชิ
ดฉิ่
งก็
จะเป็
นเชิ
ดกลอง เพลงนี้
ต้
องฟั
งจั
งหวะกลองทั
ดเป็
นหลั
กโดยกลองจะรั
วติ
ดๆ กั
น
เชิ
ดฉาน ใช่
ได้
เฉพาะตั
วแสดงที่
เป็
นพระ เช่
นพระราม
ในเรื่
องรามเกี
ยรติ์
หย่
าหรั
นในเรื่
องอิ
เหนา โอกาสที่
จะใช้
ตอน
พระรามตามกวาง และหย่
าหรั
นตามนกยู
ง ตอนอื่
นๆไม่
ปรากฏ ผู้
เขี
ยนคิ
ดว่
าผู้
อ่
านคงเคยได้
ยิ
นได้
ดู
กั
นบ้
างแล้
ว ณ โรงละครแห่
ง
ชาติ
ทางสถานี
วิ
ทยุ
ทาทั
ศน์
หรื
อทางอื่
นๆ
เชิ
ดนอก เป็
นพาทย์
ประกอบการแสดงใช้
กั
บตั
วละครที่
เป็
นลิ
ง คื
อหนุ
มาน ตอนหนุ
มานไล่
จั
บนางสุ
พรรณมั
จฉาและไล่
จั
บนางเบญจกาย เพลงเชิ
ดนอกนี้
ครู
อาจารย์
ได้
กำ
�หนดท่
ารำ
�
ไว้
ใหญ่
ๆ จำ
�นวน ๓ ท่
า ท่
าหนึ่
งเรี
ยกว่
า “ท่
าสู
ง” ท่
าที่
สองเรี
ยก
ว่
า “ท่
าจั
บข้
างหน้
า” ท่
าที่
สามเรี
ยกว่
า “ท่
าพนม” (เฉพาะในตอน
หนุ
มานจั
บนางสุ
พรรณมั
จฉา) การบรรเลงเพลงนี
้
ต้
องยึ
ดผู
้
รำ
�เป็
น
หลั
ก และเวลาแสดงต้
องมี
ปี่
ในเป่
า เรี
ยกว่
า เดี่
ยวปี่
เชิ
ดนอก แต่
ถ้
าไม่
มี
ปี่
ใช้
ระนาดบรรเลงเพลงก็
ได้
เรี
ยกว่
า เดี่
ยว ระนาดเอก
เชิ
ดนอก เมื่
อหนุ
มานจั
บท่
าที่
สามได้
ผู้
เป่
าปี่
หรื
อผู้
เดี่
ยว ระนาด
เอกจะต้
องเป่
าหรื
อตี
ให้
ตรงกั
บคำ
�ว่
า “ฉวยตั
วให้
ติ
ดตี
ให้
ตาย”
จากนั้
นวงปี่
พาทย์
ทั้
งวงจะรั
บเป็
นเพลง “เตี
ยวหรื
อเกลี
ยว” แล้
ว
ออกบรรเลงเพลงเชิ
ด
แต่
มาสมั
ยปั
จจุ
บั
นได้
มี
การเปลี่
ยนแปลงจากเดิ
ม
ผู
้
บรรเลงจะต้
องดู
คนรำ
�และบรรเลงให้
สอดคล้
องกั
บท่
ารำ
�
แต่
เดี๋
ยวนี้
ผู้
รำ
�จะต้
องรำ
�ให้
สอดคล้
องกั
บผู้
บรรเลง โดย
ดนตรี
จะบรรเลงไปในท่
าหนึ่
งท่
าใด (คื
อ ท่
าหนึ่
ง สอง หรื
อ
สาม) ผู้
แสดงจะต้
องรำ
�ให้
ทั
น วั
ตถุ
ประสงค์
ที่
ทำ
�เช่
นนี้
ดู
เหมื
อนเพื่
อที่
ตะโชว์
ฝี
มื
อนั
กดนตรี
เป็
นสำ
�คั
ญ ผู้
รำ
�ถื
อเป็
น
ส่
วนประกอบเท่
านั้
นเอง
เสมอสามลา เป็
นเพลงหน้
าพาทย์
สู
งเพลงหนึ่
งใช้
เฉพาะ
แต่
ในการโขนเท่
านั้
น และตั
วที่
แสดงต้
องใช้
เพลงนี้
ต้
องเป็
นผู้
สู
ง
ศั
กดิ์
พอสมควร เช่
น พระใหญ่
(พระราม, พระลั
กษณ์
) ยั
กษ์
ใหญ่
(สหั
สเดชะทศกั
ณฑ์
) หรื
อมิ
ฉะนั้
นต้
องเป็
นยั
กษ์
อุ
ปราช เช่
นกุ
มภ
๒๔