Page 16 - mar53

Basic HTML Version

๑๔
ร้
อยเรื่
องวั
นสำ
�คั
วั
นที่
๓๑ มี
นาคม ของ
ทุ
กปี
เด็
กและเยาวชน
รุ่
นใหม่
อาจจะไม่
รู้
ว่
าเป็
วั
นสำ
�คั
ญอย่
างไร แต่
ที่
จริ
งแล้
ววั
นที่
๓๑ มี
นาคม
ถื
อเป็
นวั
นสำ
�คั
ญยิ่
งของปวงชนชาวไทย เนื่
องจากเป็
นวั
นพระราช
สมภพของพระบาทสมเด็
จพระนั่
งเกล้
าเจ้
าอยู่
หั
ว พระมหากษั
ตริ
ย์
รั
ชกาลที่
๓ แห่
งราชวงศ์
จั
กรี
ของไทย (ทรงพระราชสมภพตรงกั
วั
นที่
๓๑ มี
นาคม พ.ศ. ๒๓๓๐)
พระบาทสมเด็
จพระนั่
งเกล้
าเจ้
าอยู่
หั
ว ทรงเป็
พระราชโอรสในพระบาทสมเด็
จพระพุ
ทธเลิ
ศหล้
านภาลั
ย (รั
ชกาล
ที่
๒) กั
บสมเด็
จพระศรี
สุ
ลาลั
ย (เจ้
าจอมมารดาเรี
ยม) ทรงมี
พระอนุ
ชาและพระขนิ
ษฐา รวม ๒ พระองค์
คื
อ พระองค์
เจ้
หญิ
งป้
อม และพระองค์
เจ้
าชายดำ
� พระองค์
มี
พระนามเดิ
มว่
พระองค์
ชายทั
ต่
อมาในปี
พ.ศ. ๒๓๕๖ ทรงได้
รั
บสถาปนาให้
ทรงกรม
เป็
นพระเจ้
าลู
กยาเธอ กรมหมื่
นเจษฎาบดิ
นทร์
ซึ่
งความหมาย
ของพระนามกรม
“เจษฎาบดิ
นทร์
แปลได้
ว่
เจษฎา แปลว่
ผู้
เป็
นใหญ่
ที่
สุ
ด บดิ
นทร์
แปลว่
า พระเจ้
าแผ่
นดิ
รวมเป็
พระนามให้
เป็
นที่
เข้
าใจว่
า ได้
ทรงแต่
งตั้
งพระราชหฤทั
ยจะให้
พระราชโอรสองค์
นี้
เป็
“พระเจ้
าแผ่
นดิ
นผู้
เป็
นใหญ่
(แต่
จะ
เป็
นความตั้
งพระทั
ยหรื
อเพื่
อพระราชทานนามให้
เป็
นมงคล เป็
พระราชสิ
ริ
สวั
สดิ์
แด่
พระราชโอรสพระองค์
ใหญ่
ก็
ตาม แต่
ต่
อมา
พระองค์
ทรงได้
เป็
นพระเจ้
าแผ่
นดิ
นผู้
เป็
นใหญ่
จริ
งๆ)
หลั
งจากที่
พระองค์
ได้
รั
บการสถาปนาเป็
นกรมหมื่
เจษฎาบดิ
นทร์
พระองค์
ทรงได้
รั
บความไว้
วางพระราชหฤทั
ยจาก
พระบาทสมเด็
จพระพุ
ทธเลิ
ศหล้
านภาลั
ย (สมเด็
จพระชนกนาถ
รั
ชกาลที่
๒) ทรงพระกรุ
ณาโปรดเกล้
าฯ ให้
ทรงกำ
�กั
บดู
แลราชการ
ในกรมที่
สำ
�คั
ญๆ ในราชการแผ่
นดิ
นทั้
งสิ้
น อาทิ
กรมท่
า (กระทรวง
การต่
างประเทศ) กรมพระคลั
งมหา
สมบั
ติ
กรมพระตำ
�รวจว่
าความฎี
กา
และเป็
นผู้
ว่
าความในศาลฎี
กา
เมื่
อสมเด็
จพระพุ
ทธเลิ
ศหล้
นภาลั
ยทรงเสด็
จสวรรคต ในขณะนั้
นมิ
ได้
ทรงตั้
งรั
ชทายาท
ให้
สื
บราชบั
ลลั
งค์
หรื
อผู้
ที่
จะสื
บพระราชสั
นตติ
วงศ์
บรรดา
พระราชวงศ์
ชั้
นผู้
ใหญ่
จึ
งได้
ประชุ
มปรึ
กษาหารื
อกั
นแล้
วลงมติ
เลื
อกพระเจ้
าลู
กยาเธอ กรมหมื่
นเจษฎาบดิ
นทร์
ขึ้
นเป็
นพระมหา
กษั
ตริ
ย์
แห่
งราชวงศ์
จั
กรี
ต่
อไป ด้
วยเหตุ
ผล คื
อ พระองค์
ทรงเป็
ที่
รั
กใคร่
ของบรรดาพระราชวงศ์
ชั้
นสู
งและเหล่
าอำ
�มาตย์
อี
กทั้
ทรงรอบรู้
ในกิ
จการบ้
านเมื
อง มี
ความเฉลี
ยวฉลาด และยั
งทรงรั
ราชการเป็
นอั
นมาก พระองค์
จึ
งเสด็
จขึ้
นครองราชย์
ต่
อจากสมเด็
พระพุ
ทธเลิ
ศหล้
านภาลั
ย (รั
ชกาลที่
๒) เมื่
อวั
นที่
๑ สิ
งหาคม
พ.ศ. ๒๓๖๗ ขณะมี
พระชนมายุ
๓๗ พรรษา
ทรงพระนามว่
พระบาทสมเด็
จพระรามาธิ
บดี
ศรี
สิ
นทรมหาเจษฎาบดิ
นทร์
พระนั่
งเกล้
าเจ้
าอยู่
หั
ว (พระนามตามที่
เรี
ยกกั
นเป็
นสามั
ญว่
พระบาทสมเด็
จพระนั่
งเกล้
าเจ้
าอยู่
หั
ว) เป็
นพระมหากษั
ตริ
ย์
รั
ชกาลที่
๓ แห่
งราชวงศ์
จั
กรี
สำ
�หรั
บพระราชกรณี
ยกิ
จที่
สำ
�คั
ญของพระบาทสมเด็
พระนั่
งเกล้
าเจ้
าอยู่
หั
วที่
ทรงพั
ฒนาประเทศชาติ
ของเราให้
มี
ความ
เจริ
ญรุ่
งเรื
องนั้
น อาทิ
ด้
านการปกครอง ทรงพระกรุ
ณาโปรดเกล้
าฯ ให้
จั
ดการ
ปกครองบ้
านเมื
องเสี
ยใหม่
ที่
กระจั
ดกระจายให้
มาอยู่
รวมกั
น เพื่
ความเป็
นระเบี
ยบมากขึ้
น และทรงให้
สร้
างป้
อมปราการเพื่
ป้
องกั
นข้
าศึ
กที่
จะเข้
ามาโจมตี
ประเทศไทย นอกจากนี้
ทรงให้
มี
การสั
กและการลงทะเบี
ยนสำ
�รวจจำ
�นวนพลเมื
อง เพื่
อเป็
นกำ
�ลั
รั
บใช้
ชาติ
และที่
ต้
องเสี
ยภาษี
ให้
แก่
ทางราชการ การปราบปราม
โจรผู้
ร้
าย ปราบจี
นตั้
วเหี่
ย และปราบปรามการค้
าฝิ่
ด้
านการต่
างประเทศ
มี
การทำ
�สั
ญญาพระราชไมตรี
กั
อั
งกฤษและสหรั
ฐอเมริ
กา ทำ
�ให้
อั
งกฤษส่
งเรื
อกำ
�ปั่
นเข้
ามาค้
าขาย
กั
บไทยมากขึ้
น และในปี
พ.ศ. ๒๓๗๖ ได้
มี
การทำ
�สั
ญญาพระราช
ไมตรี
กั
บสหรั
ฐอเมริ
กาเช่
นเดี
ยวกั
บอั
งกฤษ และมี
การทำ
�สั
ญญาว่
ด้
วยความเสมอภาคที
ชาวอเมริ
กั
นจะเข้
ามาทำ
�การค้
าขายในเมื
องไทย
ด้
านเศรษฐกิ
จและการค้
พระองค์
ทรงโปรดเกล้
าฯ
ให้
มี
การจั
ดตั้
งระบบการเก็
บภาษี
โดยให้
เอกชนผู้
ได้
รั
บการ
ประมู
ลไปเรี
ยกเก็
บภาษี
จากราษฎรเอง จึ
งเรี
ยกผู
เก็
บภาษี
อากรนี
ว่