Page 50 - fab53

Basic HTML Version

การจั
ดการความรู้
เริ่
มต้
นอย่
างเป็
นระบบจากบริ
ษั
เอกชนในประเทศตะวั
นตก ราวๆ ปี
ค.ศ.๑๙๙๓ ที่
ตระหนั
ถึ
งความสำ
�คั
ญของความรู้
และประสบการณ์
ที่
มี
อยู่
ในตั
บุ
คลากรในองค์
กรของตน
ซิ
ดนี
ย์
วั
นเทอร์
นั
กเศรษฐศาสตร์
อธิ
บายว่
าบริ
ษั
ทธุ
รกิ
จคื
อ “องค์
กรที่
รู้
วิ
ธี
ทำ
�สิ่
งต่
างๆ” บริ
ษั
ทก็
คื
อศู
นย์
รวมผู้
คนที่
อยู่
รวมกั
นเพื่
อทำ
�สิ
นค้
าหรื
อบริ
การหรื
อทั้
สิ
นค้
าและบริ
การควบคู่
กั
นไป การที่
พวกเขาสามารถผลิ
ตได้
นั้
น ต้
องอาศั
ยสิ่
งที่
พวกเขารู้
และอาศั
ยความรู้
ที่
สั่
งสมอยู่
ใน
การทำ
�งานประจำ
�วั
น และความรู้
เกี่
ยวกั
บกลวิ
ธี
ในการผลิ
ทรั
พย์
สิ
นที่
เป็
นวั
ตถุ
สิ่
งของของบริ
ษั
ท จะมี
คุ
ณค่
าน้
อยลง
ทั
นที
หากพนั
กงานไม่
รู้
ว่
าจะทำ
�อะไรกั
บมั
นได้
บ้
าง ถ้
า “การ
รู้
วิ
ธี
ทำ
�สิ่
งต่
างๆ” คื
อคำ
�นิ
ยามของบริ
ษั
ทแล้
วละก็
ความรู้
ก็
คื
อบริ
ษั
ทที่
ว่
านั้
นนั่
นเอง การเข้
าใจบทบาทของความรู้
ใน
บริ
ษั
ทอาจช่
วยตอบคำ
�ถามที่
ว่
า ทำ
�ไมบางบริ
ษั
ทจึ
งประสบ
ความสำ
�เร็
จอย่
างต่
อเนื่
อง เมื่
อคน เทคโนโลยี
สิ
นค้
า และ
สภาพแวดล้
อมทางธุ
รกิ
จเปลี่
ยนแปลงไปตามกาลเวลา จะ
เหลื
ออะไรอยู่
บ้
าง อะไรเป็
นตั
วสร้
างความต่
อเนื่
องให้
กั
บริ
ษั
ทบางแห่
งเติ
บโตอยู่
ได้
แม้
กาลเวลาจะเปลี่
ยนไป เราจึ
เชื่
อว่
าวิ
ธี
การที่
บริ
ษั
ทต่
าง ๆ สั่
งสมถ่
ายทอดความรู้
ต่
อ ๆ กั
มานั่
นเอง ที่
เป็
นองค์
ประกอบสำ
�คั
ญของความต่
อเนื่
องนั้
พอล โรเมอร์
นั
กเศรษฐศาสตร์
แห่
งมหาวิ
ทยาลั
สแตนฟอร์
ด เรี
ยกความรู้
ว่
า “เป็
นทรั
พยากรที่
ไร้
ขี
ดจำ
�กั
เป็
นทรั
พยากรชนิ
ดเดี
ยวที่
ยิ่
งใช้
มากยิ่
งได้
กลั
บคื
นมามาก”
ในปี
ค.ศ.๑๙๙๕ นั
กวิ
ชาการชาวญี
ปุ
น คื
อ ไอกู
จิ
โร
โนนะ กั
บ ฮิ
โรทากะ ทาเกอู
ชิ
ได้
พิ
มพ์
ผลงานการศึ
กษา
เกี่
ยวกั
บบ่
อเกิ
ดความรู้
ในบริ
ษั
ทญี่
ปุ่
น รายงานดั
งกล่
าวมี
ชื่
ว่
“Knowledge Creating Company”
นอกจากนี้
ยั
งมี
หนั
งสื
อหลายเล่
มแนะนำ
�ให้
ผู้
จั
ดการทั้
งหลายหั
นมาจั
ดการ
ความรู้
การจั
ดการความรู้
ในส่
วนราชการ
การจั
ดการความรู้
สำ
�หรั
บในแวดวงราชการนั
เป็
นเรื่
องใหม่
ที่
ถู
กนำ
�มาใช้
อย่
างเป็
นระบบในปี
พ.ศ.
๒๕๔๖ นั
บตั้
งแต่
มี
การประกาศใช้
พระราชกฤษฎี
กาว่
าด้
วย
หลั
กเกณฑ์
และวิ
ธี
การบริ
หารกิ
จการบ้
านเมื
องที่
ดี
พ.ศ.
๒๕๔๖ และในมาตรา ๑๑ แสดงให้
เห็
นถึ
งความสำ
�คั
ญของ
ความรู้
ในส่
วนราชการ ว่
า “ส่
วนราชการมี
หน้
าที่
ในการพั
ฒนา
ความรู้
ในส่
วนราชการ เพื่
อให้
มี
ลั
กษณะเป็
นองค์
กรแห่
การเรี
ยนรู้
อย่
างสม่ำ
�เสมอ โดยต้
องรั
บรู้
ข้
อมู
ลข่
าวสารและ
สามารถประมวลผลความรู้
ในด้
านต่
างๆ เพื่
อนำ
�มาประยุ
กต์
ใช้
ในการปฏิ
บั
ติ
ราชการได้
อย่
างถู
กต้
อง รวดเร็
วและเหมาะ
สมต่
อสถานการณ์
รวมทั้
งต้
องส่
งเสริ
มและพั
ฒนาความรู้
ความสามารถ สร้
างวิ
สั
ยทั
ศน์
และปรั
บเปลี่
ยนทั
ศนคติ
ของ
ข้
าราชการในสั
งกั
ด ให้
เป็
นบุ
คลากรที่
มี
ประสิ
ทธิ
ภาพและ มี
การเรี
ยนรู้
ร่
วมกั
น...”
การจั
ดการความรู้
สู่
การปฏิ
บั
ติ
คำ
�นิ
ยามความรู้
ในเชิ
งปฏิ
บั
ติ
ความรู้
คื
อ กรอบของการประสมประสานระหว่
าง
ประสบการณ์
ค่
านิ
ยม ความรอบรู้
ในบริ
บท และความรู้
แจ้
อย่
างช่
�ชอง เป็
นการประสมประสานที
ให้
กรอบการประเมิ
นค่
โทมั
ส เอช. ดาเวนพอร์
ท และลอเรนซ์
พรู
แซค.นิ
ทั
ศน์
วิ
เทศ แปล.การจั
ดการความรู้
.(บริ
ษั
ทพิ
มพ์
ดี
จำ
�กั
ด: กรุ
งเทพฯ),๒๕๔๒,หน้
าXI-XII.
ธนพร แตงขาว...เรี
ยบเรี
ยง
๔๘