หมายถึ
ง ภิ
กษุ
ในพระพุ
ทธศาสนา) สมณสารู
ป (กิ
ริ
ยามารยาท
ที่
สมควรแก่
สมณะ เช่
น ภิ
กษุ
พู
ดจาควรจะมี
สมณสารู
ป)
สมณศั
กดิ์
(ยศพระสงฆ์
ที่
ได้
รั
บพระราชทานมี
หลายชั้
นแต่
ละ
ชั้
นมี
พั
ดยศเป็
นเครื่
องกำ
�หนด) พระธรรมกถึ
ก (พระที่
เป็
น
นั
กเทศน์
ผู้
แสดงธรรม) อุ
ปั
ชฌาย์
(พระเถระผู้
เป็
นประธาน
การบวชกุ
ลบุ
ตรในพระพุ
ทธศาสนา) ธรรมาสน์
(ที่
สำ
�หรั
บ
พระภิ
กษุ
นั่
งแสดงธรรม) เปรี
ยญ (ผู้
สอบความรู้
พระปริ
ยั
ติ
ธรรมสายบาลี
ได้
ตามหลั
กสู
ตรตั้
งแต่
๓ ประโยคขึ้
นไป) มหา
(สมณศั
กดิ์
ที่
ใช้
นำ
�หน้
าชื่
อพระภิ
กษุ
ที่
สอบไล่
ได้
ตั้
งแต่
เปรี
ยญ
ธรรม ๓ ประโยคขึ้
นไป) มหานิ
กาย (ชื่
อคณะสงฆ์
นิ
กายหนึ่
ง
คู่
กั
บธรรมยุ
ติ
กนิ
กาย) มหายาน (ชื่
อนิ
กายในพระพุ
ทธศาสนา
ฝ่
ายเหนื
อที่
นั
บถื
อกั
นในทิ
เบต จี
น ญี่
ปุ่
น เกาหลี
และ ญวน)
โยม (คำ
�ที่
พระภิ
กษุ
สามเณรใช้
เรี
ยกบิ
ดามารดาของตน หรื
อ
เรี
ยกผู้
ใหญ่
รุ่
นราวคราวเดี
ยวกั
บบิ
ดามารดา)โยมอุ
ปั
ฏฐาก
(ใช้
เรี
ยกผู้
แสดงตนเป็
นผู้
อุ
ปการะพระภิ
กษุ
สามเณร)
โอสถ (ยารั
กษาโรค) โลมา (ขน)เกศา (ผม) ถาน (ส้
วม)
ไทยธรรม (ของถวายพระ) ปั
จจั
ย (เครื่
องอาศั
ยเลี้
ยงชี
วิ
ตของ
พระภิ
กษุ
มี
๔ อย่
างคื
อ จี
วร (ผ้
านุ่
งห่
ม) บิ
ณฑบาตร (อาหาร)
เสนาสนะ (ที่
อยู่
) คิ
ลานเภสั
ช (ยา) รวมเรี
ยกว่
าจตุ
ปั
จจั
ย
คื
อ ปั
จจั
ย ๔ โดยปริ
ยายหมายถึ
งเงิ
นตราก็
ได้
) อาสนะ
(ที่
นั่
ง) อาสน์
สงฆ์
(ที่
ยกพื้
นสำ
�หรั
บพระสงฆ์
นั่
ง) อาสนศาลา
(โรงฉั
นอาหาร) เสนาสนะ (ที่
นอนและที่
นั่
ง หรื
อ ที่
อยู่
)
พระครู
(ฐานั
นดรประเภทหนึ่
งแห่
งพระภิ
กษุ
ต่ำ
�กว่
าพระราชา
คณะ) พระราชาคณะ (พระภิ
กษุ
ที่
ได้
รั
บแต่
งตั้
งและสถาปนา
ให้
มี
สมณศั
กดิ์
ตั้
งแต่
ชั้
นสามั
ญจนถึ
งชั้
นสมเด็
จ) สิ
กขาบท
(ข้
อวิ
นั
ยบทบั
ญญั
ติ
ในพระวิ
นั
ยที่
พึ
งศึ
กษาปฏิ
บั
ติ
) ธุ
ดงค์
(ชื่
อ
วั
ตรปฏิ
บั
ติ
อย่
างเคร่
งครั
ดของพระภิ
กษุ
เช่
น การอยู่
ในป่
า)
บริ
ขาร (เครื่
องใช้
สอยของพระพระภิ
กษุ
มี
๘ อย่
าง รวม
เรี
ยกว่
า “อั
ฐบริ
ขาร” ได้
แก่
สบง จี
วร สั
งฆาฏิ
บาตร มี
ดโกน
เข็
ม รั
ดประคด กระบอกกรองน้ำ
�)
๒. คำ
�ราชศั
พท์
สำ
�หรั
บพระภิ
กษุ
ที่
เป็
นคำ
�
สรรพนาม
รู
ป ( เป็
นคำ
�ลั
กษณนามใช้
เรี
ยกพระภิ
กษุ
สามเณร เช่
น พระ ๑ รู
ป) อาตมา, อาตมภาพ (คำ
�ที่
ใช้
แทนตั
วผู้
พู
ดสำ
�หรั
บพระภิ
กษุ
สามเณรกั
บคฤหั
สถ์
เป็
น
สรรพนามบุ
รุ
ษที่
๑) พระคุ
ณเจ้
า (คำ
�เรี
ยกพระภิ
กษุ
ที่
นั
บถื
อ
หรื
อชั้
นสมเด็
จพระราชาคณะ เป็
นสรรพนามบุ
รุ
ษที่
๒)
พระองค์
(เป็
นคำ
�ลั
กษณนามและคำ
�สรรพนาม ใช้
แก่
สมเด็
จ
พระสั
งฆราช เป็
นสรรพนามบุ
รุ
ษที่
๓) เกล้
ากระหม่
อม,
เกล้
ากระหม่
อมฉั
น (ใช้
เมื่
อกราบทู
ลสมเด็
จพระสั
งฆราช เป็
น
สรรพนามบุ
รุ
ษที่
๑) ฝ่
าพระบาท (ใช้
กั
บสมเด็
จพระสั
งฆราช เป็
น
สรรพนามบุ
รุ
ษที่
๒) ท่
านมหา, พระมหา (ใช้
กั
บพระเปรี
ยญธรรม
ตั้
งแต่
๓ – ๙ ประโยค) ท่
าน (ใช้
พู
ดกั
บพระอั
นดั
บธรรมดา
เป็
นสรรพนามบุ
รุ
ษที
่
๒)
๓. คำ
�ราชาศั
พท์
สำ
�หรั
บพระภิ
กษุ
ที่
เป็
นคำ
�กริ
ยา
ชาตะ (เกิ
ด) จำ
�พรรษา (อยู่
ประจำ
�ที่
วั
ด ๓ เดื
อน
ในฤดู
ฝน) เจริ
ญพร (เป็
นคำ
�เริ่
มที่
พระภิ
กษุ
สามเณรพู
ดกั
บ
สุ
ภาพชนและเป็
นคำ
�รั
บ) เจริ
ญพระพุ
ทธมนต์
(การสวดมนต์
ของพระสงฆ์
ในมงคลพิ
ธี
) นิ
มนต์
(เชื้
อเชิ
ญ) นมั
สการ (การ
แสดงความอ่
อนน้
อมด้
วยการกราบไหว้
) อุ
ปสมบท (บวช
เป็
นพระภิ
กษุ
) บรรพชา (บวชเป็
นสามเณร) ลาสิ
กขา (สึ
ก
ลาออกจากความเป็
นภิ
กษุ
เป็
นคนธรรมดา) อาราธนา (นิ
มนต์
๑๗