ภาษาไทยมี
ลั
กษณะพิ
เศษแตกต่
าง
จากภาษาของชาติ
อื่
น
ตรงที่
มี
การใช้
คำ
�ต่
างๆ
ที่
หลากหลาย มี
เอกลั
กษณ์
เป็
นของตนเอง มี
วั
ฒนธรรม
ทางภาษาที่
ใช้
สื่
อสารกั
น
ด้
วยความเคารพ นั
บถื
อ
ศรั
ทธา และยกย่
องมา
ตั้
งแต่
โบราณกาล มี
การแบ่
งระดั
บของภาษาเพื่
อที่
จะใช้
ให้
เหมาะสมตามฐานะของบุ
คคล สั
มพั
นธภาพระหว่
าง
บุ
คคล ตามโอกาสและกาลเทศะ ซึ่
งเป็
นเรื่
องของการใช้
คำ
�
ราชาศั
พท์
นั่
นเอง
คำ
�ราชาศั
พท์
ถ้
าแปลตามรู
ปศั
พท์
หมายถึ
ง ถ้
อยคำ
�
สำ
�หรั
บพระราชา แต่
ในตำ
�ราภาษาไทย
วจี
วิ
ภาค ของพระยา
อุ
ปกิ
ตศิ
ลปสาร (นิ่
ม กาญจนาชี
วะ) ได้
กำ
�หนดความ
หมายของคำ
�ราชาศั
พท์
กว้
างออกไปว่
าเป็
นการใช้
ถ้
อยคำ
�
กั
บบุ
คคลที่
ควรเคารพตั้
งแต่
พระมหากษั
ตริ
ย์
เจ้
านาย
พระภิ
กษุ
ข้
าราชการ และสุ
ภาพชน
คำ
�ราชาศั
พท์
ที่
ใช้
สำ
�หรั
บพระภิ
กษุ
ถื
อได้
ว่
าเป็
น
ภาษาพิ
เศษที่
ใช้
แตกต่
างกั
บบุ
คคลทั่
วไป เช่
น ฉั
นภั
ตตาหาร
บุ
คคลทั่
วไปใช้
ว่
า กิ
นอาหาร จำ
�วั
ด บุ
คคลทั่
วไปใช้
ว่
า นอน ถวาย
บุ
คคลทั่
วไปใช้
ว่
า มอบให้
อาพาธ บุ
คคลทั่
วไปใช้
ว่
า เจ็
บ
ป่
วย สรง บุ
คคลทั่
วไปใช้
ว่
า อาบน้ำ
� ทำ
�วั
ตร บุ
คคลทั่
วไป
ใช้
ว่
า สวดมนต์
มรณภาพ บุ
คคลทั่
วไปใช้
ว่
า ตาย หรื
อ
ถึ
งแก่
กรรม เป็
นต้
น
นอกจากนี้
การใช้
คำ
�ราชาศั
พท์
สำ
�หรั
บพระภิ
กษุ
ที่
ทรง
สมณศั
กดิ์
ก็
ต้
องใช้
ให้
เหมาะสมกั
บสมณศั
กดิ์
ของพระองค์
เช่
น การใช้
คำ
�ราชาศั
พท์
กั
บ สมเด็
จพระสั
งฆราช ฐานั
นดรศั
กดิ์
ของพระองค์
จะเป็
นเสมื
อนพระราชวงศ์
ชั้
น “พระองค์
เจ้
า”
คำ
�พู
ดที่
ใช้
ต้
องใช้
คำ
�ราชาศั
พท์
สำ
�หรั
บพระองค์
เจ้
าชั้
น
พระเจ้
าวรวงศ์
เธอ เช่
น ใช้
คำ
� เสวยภั
ตตาหาร แทนคำ
�ว่
า
ฉั
นภั
ตตาหาร ใช้
คำ
� บรรทม แทนคำ
�ว่
า จำ
�วั
ด ใช้
คำ
� ประชวร
แทนคำ
�ว่
า เจ็
บป่
วยหรื
ออาพาธ ใช้
คำ
� ทรงรั
บนิ
มนต์
แทน
คำ
�ว่
า รั
บนิ
มนต์
ใช้
คำ
� สิ้
นพระชนม์
แทนคำ
�ว่
า ตายหรื
อ
ถึ
งแก่
กรรม เป็
นต้
น
คำ
�ราชาศั
พท์
สำ
�หรั
บพระภิ
กษุ
มี
ดั
งนี้
๑. คำ
�ราชาศั
พท์
สำ
�หรั
บพระภิ
กษุ
ที่
เป็
นคำ
�นาม
กุ
ฏิ
( เ รื
อนหรื
อตึ
กสำ
�หรั
บพระภิ
กษุ
อยู่
)
กาสาวพั
สตร์
(ผ้
าย้
อมฝาด คื
อ ผ้
าเหลื
องพระ) กลด (ร่
ม
ขนาดใหญ่
มี
ด้
ามยาว ใช้
สำ
�หรั
บพระธุ
ดงค์
โดยเฉพาะ) จี
วร
(ผ้
าสำ
�หรั
บห่
มของพระภิ
กษุ
สามเณร) จั
งหั
น (ข้
าว อาหาร)
พรรษา (ช่
วงระยะเวลา ๓ เดื
อน ในฤดู
ฝน) ฉายา (ชื่
อที่
พระอุ
ปั
ชฌาย์
ตั้
งให้
เป็
นภาษาบาลี
เมื่
ออุ
ปสมบท) อาบั
ติ
(โทษที่
เกิ
ดจากการล่
วงละเมิ
ดข้
อห้
ามแห่
งภิ
กษุ
) อาวาส (วั
ด)
เจ้
าอาวาส (พระภิ
กษุ
ซึ่
งได้
รั
บการแต่
งตั้
งให้
ดำ
�รงตำ
�แหน่
ง
ผู้
ปกครองวั
ด) สมภาร (พระที่
เป็
นเจ้
าอาวาส) พุ
ทธาวาส (ที่
ประดิ
ษฐานพระพุ
ทธรู
ป หมายถึ
ง โบสถ์
วิ
หาร) สั
งฆาวาส
(ที่
อยู่
ของพระสงฆ์
) ไตรจี
วร (ผ้
า ๓ อย่
างของ พระภิ
กษุ
)
คื
อ ผ้
าทาบ (สั
งฆาฏิ
) ผ้
าห่
ม (จี
วร) และผ้
านุ่
ง (สบง) รั
ด
ประคด (ผ้
าที่
ใช้
รั
ดอกหรื
อสายที่
ถั
กด้
วยด้
ายสำ
�หรั
บรั
ดเอว
ของพระภิ
กษุ
สามเณร) ไตรปิ
ฎก (พระธรรมคำ
�สั่
งสอนของ
พระพุ
ทธเจ้
า มี
๓ ปิ
ฎก คื
อ พระธรรมวิ
นั
ย พระสู
ตร และ
พระอภิ
ธรรม) ตำ
�หนั
ก (กุ
ฏิ
ของสมเด็
จพระสั
งฆราช) ตาลปั
ตร
(พั
ดใบตาลมี
ด้
ามยาว สำ
�หรั
บพระใช้
ในพิ
ธี
กรรม เช่
น ใน
เวลาให้
ศี
ล ต่
อมาอนุ
โลมเรี
ยกพั
ดที่
ทำ
�ด้
วยผ้
าหรื
อไหม ซึ่
ง
มี
ลั
กษณะคล้
ายกั
น) สมณะ (ผู้
สงบกิ
เลสแล้
วโดยเฉพาะ
เฉลี
ยว เพชรแก้
ว........เรื่
อง
๑๖