Page 21 - july53

Basic HTML Version

๑๙
๑. โขมะ
คื
อผ้
าเปลื
อกไม้
เช่
น มั
สลิ
น หรื
ลิ
นิ
๒. กั
ปปาสิ
กะ
คื
อผ้
าฝ้
าย
๓. โกเสยยะ
คื
อผ้
าไหม หรื
อผ้
าแพร
๔. กั
มพละ
คื
อผ้
าขนสั
ตว์
๕. สาณะ
คื
อผ้
าป่
าน
๖. ภั
งคะ
คื
อผ้
าฝ้
ายแกมด้
วยผ้
าทั้
ง ๕ อย่
าง
ที่
กล่
าวมาแล้
วอย่
างไดอย่
างหนึ่
เช่
น ฝ้
าย แกมไหม เป็
นต้
ผ้
าที่
มาจากวั
สดุ
ต้
องห้
ามมิ
ให้
นำ
�มาทำ
�จี
วร ได้
แก่
ผ้
าคากรอง หนั
งเสื
อ และผ้
ากั
มพล ที่
ทอจากผมมนุ
ษย์
หลั
กฐานเรื่
องสี
ของผ้
าจี
วรพระภิ
กษุ
ไทยสมั
ยโบราณ
จะเห็
นได้
จากภาพในจิ
ตรกรรมฝาผนั
งและจิ
ตรกรรมใน
สมุ
ดไทยโบราณ ตั้
งแต่
สมั
ยอยุ
ธยาเป็
นต้
นมาจนถึ
งสมั
รั
ตนโกสิ
นทร์
สี
ที่
ปรากฏ คื
อสี
เหลื
องคล้ำ
� หรื
อออกไปทางเจื
ด้
วยสี
น้ำ
�ตาลแดง ปั
จจุ
บั
นจี
วรพระย้
อมด้
วยสี
วิ
ทยาศาสตร์
สี
จี
วรแบ่
งออกเป็
น ๒ กลุ่
มคื
อสี
เหลื
องอมส้
ม หรื
อสี
เหลื
องอม
น้ำ
�ตาล หรื
อสี
กรั
ก ส่
วนสี
ที่
มี
ข้
อกำ
�หนดห้
ามใช้
เป็
นสี
จี
วรคื
สี
คราม สี
เหลื
องสด สี
แดง สี
บานเย็
น สี
ฝาง สี
แสด สี
ชมพู
และสี
ดำ
� ทั้
งห้
ามใช้
ผ้
าที่
มี
ลายดอกกาววาวเป็
นจี
วร ยกเว้
ลายดอกพิ
กุ
ล หรื
อลายริ้
วของจี
วรแพร
ในรั
ชสมั
ยพระบาทสมเด็
จพระพุ
ทธยอดฟ้
าจุ
ฬาโลก
มหาราช มี
กฎหมายพระสงฆ์
ฉบั
บหนึ่
งซึ่
งออกใช้
ในปี
พ.ศ.
๒๓๔๔ กำ
�หนดบทลงโทษสึ
กพระภิ
กษุ
ผู้
ใช้
จี
วรผิ
ดแปลกไป
จากที่
สมควรการประพฤติ
ตนไม่
ต้
องตามพระวิ
นั
ยบั
ญญั
ติ
มี
ข้
อความตอนหนึ่
งกล่
าวถึ
งผู้
กระทำ
�ผิ
ดนั้
นว่
... ลางพวกก็
เที่
ยวซื้
อผ้
าแพรพรรณในพ่
วงแพแลร้
าน
จี
น ร้
านแขก เอาไปเย็
บย้
อมเป็
น ผ้
าพาด ผ้
าจี
วร ผ่
าสบง
ผ้
าสไบ ผ้
ากราบพระ ผ้
ารั
ดประคต ผ้
าอั
งสะ กระทำ
�เป็
สี
แสด สี
ชมพู
นุ่
งครองให้
ต้
องอาบั
ติ
เป็
นมหานิ
ตสั
กคี
ยา
ทุ
กครั้
ง ลางพวกก็
นุ่
งแดงห่
มแดง ลางพวกก็
นุ่
งห่
มเป็
สี
กร่ำ
�กรุ่
นอำ
�ปลั
ง คาดรั
ดประคตบ้
าง ไม่
คาดรั
ดประคตบ้
าง
คลุ
มศี
รษะสู
บบุ
หรี่
ดอกไม้
ห้
อยหู
เดิ
นกรี
ดกรายตามกั
นดุ
ฆราวาส ... พิ
จารณารั
บเป็
นสั
จให้
พระราชทานผ้
าขาวสึ
กแก
เสี
ยจากพระศาสนา
ผ้
าจี
วรไม่
ได้
ทำ
�ด้
วยผ้
าผื
นใหญ่
ชิ้
นเดี
ยวเพราะมี
ข้
อบั
ญญั
ติ
ห้
ามไว้
จึ
งประกอบด้
วยผ้
าชิ้
นเล็
กๆเย็
บต่
อกั
มู
ลเหตุ
คงมาจากสมั
ยโบราณได้
ผ้
าบั
งสุ
กุ
ลขนาดต่
างๆมาเย็
เข้
าด้
วยกั
น เดิ
มรอยต่
อคงไม่
มี
รู
ปแบบเป็
นระเบี
ยบเดี
ยวกั
ต่
อมาพระพุ
ทธ เ จ้
า ได้
ทอดพระเนตรเห็
นคั
นนา
ของชาวมคธแบ่
งเป็
สั
ดส่
วนดี
จึ
งโปรดให้
พระอานนท์
ทดลองจั
ทำ
�จี
วรตามแบบนั้
น ครั้
พระอานนท์
จั
ดทำ
�ตาม
พุ
ทธประสงค์
ก็
พอพระทั
โปรดให้
ตั
ดเย็
บผ้
าจี
วร
ตามที่
กำ
�หนด ใหม่
นั้
สื
บมาคื
อ แบ่
งเป็
นกระทงมี
เส้
นคั่
น กระทงใหญ่
เรี
ยกว่
มณฑล กระทงเล็
กเรี
ยกว่
าอั
ฒมณฑล เส้
นคั่
นขวางเรี
ยกว่
อั
ฒกุ
สิ
รวมทั้
ง ๓ อย่
าง เรี
ยกว่
าขั
ณฑ์
ในระหว่
างขั
ณฑ์
มี
เส้
นคั่
นยื
นเรี
ยกว่
ากุ
สิ
ขอบทั้
ง ๔ ด้
านของผ้
าเรี
ยกว่
าอนุ
วาต
จี
วรผื
นหนึ่
งกำ
�หนดให้
มี
ขั
ณฑ์
ไม่
น้
อยกว่
า ๕ ขั
ณฑ์
หรื
มากกว่
านั้
นได้
คื
อ เป็
น ๗, ๙ และ ๑๑ ขั
ณฑ์
การนำ
�ผ้
ามา
ตั
ดต่
อกั
นเป็
นจี
วรนี้
มี
ประโยชน์
๓ ประการ
๑. ทำ
�ให้
เป็
นผ้
าอั
นเศร้
าหมองด้
อยราคา สมควร
แก่
ภาวะของภิ
กษุ
๒. ให้
เห็
นว่
าเป็
นเครื่
องหมายของภิ
กษุ
และป้
องกั
มิ
ให้
ดั
ดแปลงสี
และรู
ปแบบนำ
�ไปใช้
อย่
างฆราวาส
๓. ป้
องกั
นไม่
ให้
ผู้
โจรกรรมเอาไปใช้
ประโยชน์
อื่
ขนาดของผ้
าจี
วรในระยะแรกๆ ไม่
มี
กำ
�หนดแน่
นอน
คงจะถื
อตามขนาดร่
างกายเล็
กใหญ่
ของภิ
กษุ
และตามจำ
�นวนที่
ผ้
าหาได้
ในพระปาฏิ
โมกข์
สิ
ขาบท
ที่
๑๐ แห่
งรั
ตนวรรค ปาจิ
ตติ
ยกั
ณฑ์
กำ
�หนดว่
ากว้
าง ๖ คื
พระสุ
คต ยาว ๙ คื
บ พระสุ
คต ซึ่
งสมเด็
จพระมหาสมณเจ้
กรมพระยาวชิ
รญาณวโรรส ทรงอธิ
บายว่
าไม่
ควรยาวเกิ
น ๖
ศอก กว้
างไม่
เกิ
น ๔ ศอก แต่
จะลดลงได้
อี
กตามขนาดของ
ผู้
ใช้
คื
อถ้
าเป็
นจี
วรของสามเณรก็
ลดขนาดลงได้
อี
การนุ่
งห่
มหรื
อการครองผ้
าของพระมี
หลั
กเกณฑ์
วาง
ไว้
กว้
างๆ ว่
า ต้
องนุ่
งห่
มให้
เป็
นปริ
มณฑลคื
อนุ่
งห่
มให้
มิ
ดชิ
เรี
ยบร้
อย ได้
แก่
นุ่
งปิ
ดสะดื
อ ยาวปกเข่
า และชายผ้
าเสมอกั
เวลาอยู่
วั
ดหรื
อทำ
�สั
งฆกรรมให้
ห่
มเปิ
ดไหล่
ถ้
าบิ
ณฑบาตหรื
เข้
าบ้
านราษฎรต้
องคลุ
มสองบ่
า การครองผ้
าของพระสงฆ์
แทบทุ
กวั
นมี
ธรรมเนี
ยมว่
าเวลาเช้
ามื
ดประมาณ ๔ นาฬิ
กาเศษ
เมื่
อทางวั
ดตี
ระฆั
ง ๓ ลา ให้
พระบวชใหม่
ลุ
กขึ้
นครองผ้
ทำ
�วั
ตรสวดมนต์
โดยการห่
มดอง คื
อจี
บผ้
าเข้
าหากั
น แล้
คลี่
ออกพอพั
นตั
วปิ
ดข้
างขวาไว้
ส่
วนข้
างซ้
ายตวั
ดผ้
าที่
จี