๑๐
จากความขั
ดแย้
งทางการเมื
อง จนนำ
�ไปสู่
เหตุ
การณ์
ความไม่
สงบที่
มี
ความรุ
นแรงถึ
งขั้
นก่
อการจลาจล เผาบ้
าน
เผาเมื
องอย่
างที่
ไม่
เคยปรากฏมาก่
อนในสั
งคมไทย เหตุ
การณ์
ในครั้
งนั้
นส่
งผลกระทบต่
อสภาพจิ
ตใจของคนไทยเป็
น
อย่
างมากที่
เห็
นคนไทยด้
วยกั
นขาดความสามั
คคี
และ
แบ่
งแยกออกเป็
นกลุ่
มต่
างๆ จนรั
ฐบาลต้
องกำ
�หนดมาตรการ
เยี
ยวยาเพื่
อฟื้
นฟู
สภาพจิ
ตใจของคนไทยอย่
างเร่
งด่
วน ซึ่
ง
หนึ่
งในมาตรการเยี
ยวยาก็
คื
อการใช้
หลั
กธรรมทางศาสนา
มากล่
อมเกลาจิ
ตใจของคนไทยเพื่
อให้
เกิ
ดความสบายใจและ
ความสงบในจิ
ตใจ
แม้
ว่
าเหตุ
การณ์
ดั
งกล่
าวจะผ่
านมาหลายเดื
อนแล้
ว
แต่
เชื่
อได้
ว่
าคนไทยโดยส่
วนใหญ่
ยั
งไม่
ลื
มความเจ็
บปวดที่
เกิ
ดขึ้
น ดั
งนั้
น เนื่
องใน
วั
นอาสาฬหบู
ชาและวั
นเข้
าพรรษา
ที่
จะถึ
งนี้
สำ
�นั
กงานคณะกรรมการวั
ฒนธรรมแห่
งชาติ
(สวช.) กระทรวงวั
ฒนธรรม จึ
งขอนำ
�หลั
กธรรมคำ
�สอนของ
พระพุ
ทธเจ้
าในวั
นสำ
�คั
ญทั้
ง ๒ วั
นดั
งกล่
าว มาเป็
นแนวทาง
ปฏิ
บั
ติ
สำ
�หรั
บพุ
ทธศาสนิ
กชน เพื่
อสร้
างความสงบให้
เกิ
ด
ขึ้
นภายในจิ
ตใจ ไม่
ตั
ดสิ
นปั
ญหาด้
วยความรุ
นแรงเหมื
อน
เหตุ
การณ์
ที่
ผ่
านมา
เริ่
มจาก
วั
นอาสาฬหบู
ชา
หรื
อ
อาสาฬหปุ
รณมี
บู
ชา
หมายถึ
ง การบู
ชาในวั
นเพ็
ญเดื
อน อาสาฬหมาส คื
อ
เดื
อน ๘ (ขึ้
น ๑๕ ค่ำ
� เดื
อน ๘) ซึ่
งในปี
นี้
ตรงกั
บ
วั
นจั
นทร์
ที่
๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๓
หลั
กธรรมคำ
�สอนที่
สำ
�คั
ญของ
พระพุ
ทธเจ้
าทรงแสดงธรรมในวั
นอาสาฬหบู
ชา คื
อ
ความ
เป็
นจริ
ง ๔ ประการ
หรื
อที่
เรี
ยกว่
า
อริ
ยสั
จ ๔
ประกอบด้
วย
ทุ
กข์
คื
อ ความจริ
งว่
าด้
วยทุ
กข์
คนทุ
กคนต่
างเคยพบ
กั
บความทุ
กข์
หรื
อกั
บประสบปั
ญหาต่
างๆ ที่
เข้
ามารุ
มเร้
า ซึ่
ง
ความทุ
กข์
และปั
ญหาที่
เกิ
ดขึ้
นอาจมี
ได้
ทุ
กขณะ ความจริ
งก็
คื
อว่
าความทุ
กข์
หรื
อปั
ญหาที่
เกิ
ดขึ้
นนั้
นเราจะต้
องไม่
ประมาท
และพร้
อมที่
จะเผชิ
ญกั
บปั
ญหาในทุ
กเรื่
อง
สมุ
ทั
ย
คื
อ ความจริ
งว่
าด้
วยเหตุ
แห่
งทุ
กข์
ความทุ
กข์
หรื
อปั
ญหาที่
เกิ
ดขึ้
นกั
บคนนั้
นย่
อมเกิ
ดจากสาเหตุ
ที่
แตกต่
าง
กั
นไป ซึ่
งสาเหตุ
ของการเกิ
ดทุ
กข์
นั้
น โดยส่
วนใหญ่
แล้
วคื
อ
ความอยากที่
เกิ
นพอดี
หรื
อที่
เรี
ยกว่
า ตั
ณหา มี
๓ อย่
าง คื
อ
กามตั
ณหา (ความอยากในกาม รู
ป รส กลิ่
น เสี
ยง สั
มผั
ส)
ภวตั
ณหา (ความอยากมี
อยากเป็
น) และวิ
ภวตั
ณหา (ความ
ไม่
อยากมี
ไม่
อยากเป็
น คื
อ อยากจะพ้
นจากภาวะที่
ตนไม่
ต้
องการ ไม่
อยากได้
)
นิ
โรธ
คื
อ ความจริ
งว่
าด้
วยความดั
บทุ
กข์
กล่
าวคื
อ
ความทุ
กข์
นั้
นเมื่
อเกิ
ดได้
ก็
ดั
บได้
เมื่
อความทุ
กข์
เกิ
ดจากสาเหตุ
ใด ถ้
าเราดั
บสาเหตุ
นั้
นเสี
ย ความทุ
กข์
นั้
นก็
ย่
อมดั
บไปด้
วย
ความทุ
กข์
หรื
อปั
ญหาของคนเรานั้
น เมื่
อเกิ
ดแล้
วก็
จะไม่
คงอยู่
อย่
างนั้
นเป็
นนิ
จนิ
รั
นดร์
แต่
อยู่
ในวิ
สั
ยที่
เราสามารถจะแก้
ไขได้
ไม่
ช้
าก็
เร็
ว และอยู่
ที่
ว่
ามี
ความตั้
งใจจริ
งที่
จะแก้
ไขหรื
อไม่
มรรค
คื
อ ข้
อปฏิ
บั
ติ
ให้
ถึ
งความดั
บทุ
กข์
หรื
อหมด
ปั
ญหาต่
างๆ โดยสิ้
นเชิ
ง ซึ่
งจะมี
องค์
ประกอบ ๘ ประการด้
วย
กั
น คื
อ
๑. เห็
นชอบ (สั
มมาทิ
ฏฐิ
)
คื
อ เห็
นสิ่
งต่
างๆ ตาม
ที่
เป็
นจริ
ง
๒. ดำ
�ริ
ชอบ (สั
มมาสั
งกั
ปปะ)
คื
อ ไม่
ลุ่
มหลง
มั
วเมากั
บความสุ
ขทางกาย ไม่
พยาบาทและไม่
คิ
ดทำ
�ร้
ายผู้
อื่
น
๓. เจรจาชอบ (สั
มมาวาจา)
คื
อ การไม่
พู
ดเท็
จ ไม่
พู
ดส่
อเสี
ยด