๒๒
แต่
อย่
างไรก็
ตามรู
ปแบบลวดลายหรื
อองค์
ประกอบหลั
กใน
งานออกแบบทั้
งหลายมี
ทั้
งรั
บวั
ฒนธรรมจากกรุ
งเทพฯ และ
ศิ
ลปะอย่
างลาวล้
านช้
าง แต่
ในช่
วงของช่
างคำ
�หมา แสงงาม
ศิ
ลปะแบบอย่
างกรุ
งเทพฯ ได้
เข้
ามามี
อิ
ทธิ
พลมากกว่
าศิ
ลปะ
แบบอย่
างลาว รวมถึ
งรู
ปแบบงานของช่
างคำ
�หมาเองก็
ล้
วน
แล้
วแต่
มี
อิ
ทธิ
พลศิ
ลปะแบบภาคกลาง หากมองในภาพรวม
ด้
านรู
ปแบบของช่
างในสายสกุ
ลนี้
จะพบว่
าเป็
นช่
างที่
มี
ทั
กษะ
ฝี
มื
อในระดั
บสู
ง มี
ฉั
นทลั
กษณ์
ในการออกแบบ แต่
ขณะ
เดี
ยวกั
นก็
มี
การรั
บเอาวั
ฒนธรรมกระแสหลั
กเข้
ามา (ทั้
ง
วั
ฒนธรรมไทย-ลาวล้
านช้
าง และวั
ฒนธรรมจากกรุ
งเทพฯ)
ทั้
งนี้
ก็
มิ
ได้
รั
บมาเหมื
อนทั้
งหมดอาจด้
วยข้
อจำ
�กั
ดทางด้
านฝี
มื
อ
ที่
ยั
งไม่
เฉี
ยบคมเท่
าช่
างหลวง จึ
งก่
อเกิ
ดเป็
นรู
ปแบบสกุ
ลช่
าง
เฉพาะถิ่
นแบบใหม่
ที่
มี
เอกลั
กษณ์
เฉพาะตนเช่
นกั
น
กลุ่
มสกุ
ลช่
างญวนหรื
อสกุ
ลช่
างต่
างถิ่
น
เป็
นกลุ่
ม
สกุ
ลช่
างที่
เคลื่
อนย้
ายหนี
ภั
ยสงครามเข้
ามาในอี
สานของยุ
ค
ล่
าอาณานิ
คมจากฝรั่
งเศษที่
มี
การนำ
�เข้
ารู
ปแบบศิ
ลปะอย่
าง
จี
นที่
ผสมผสานกั
บเวี
ยดนามและฝรั่
งเศสเข้
ามาใช้
ในอี
สาน
โดยเฉพาะอย่
างยิ่
ง รู
ปแบบศิ
ลปะที่
นิ
ยมก่
อสร้
างระหว่
าง
พ.ศ. ๒๔๖๐ - ๒๔๘๐ ยุ
คนี้
มี
ความนิ
ยมศิ
ลปะแบบอย่
าง
ญวนมาก โดยเฉพาะลวดลายปู
นปั้
นแบบกระบวนจี
น เช่
น
ลายพรรณพฤกษาและสั
ตว์
มงคลต่
างๆ เช่
นตั
วกิ
เลน มั
งกร
ค้
างคาว เสื
อ สิ
งโต อั
นเป็
นสั
ญลั
กษณ์
แห่
งอำ
�นาจ ความเข้
ม
แข็
งโดยเฉพาะลวดลายสานไส้
ไก่
จี
นหรื
อลายแบบสวั
สดิ
กะ
และการตกแต่
งช่
องเปิ
ดเป็
นรู
ปโค้
งวงกลม หรื
ออาร์
คโค้
ง
และนิ
ยมทำ
�บั
นไดทางขึ้
นด้
านหน้
าให้
ปากผายออกอย่
างศิ
ลปะ
ฝรั่
งเศสและมี
ทวารบาลเป็
นงานประติ
มากรรมปู
นปั้
นลอยตั
ว
โดยถื
อคติ
แบบจี
น ช่
างญวนมี
ฝี
มื
อหรื
อความเชี่
ยวชาญด้
าน
งานปู
นและงานเขี
ยนสี
มากกว่
าแกะสลั
กไม้
หรื
องานลงรั
ก
ปิ
ดทอง โดยเฉพาะสรรพสั
ตว์
ที่
เป็
นคติ
สั
ญลั
กษณ์
เรื่
อง
มงคลต่
างๆ อย่
างคติ
จี
น มั
กมี
รู
ปลั
กษณะเฉพาะตนที่
แปลก
แตกต่
างจากช่
างไทย-ลาว โดยช่
างญวนในอี
สาน ถื
อได้
ว่
า
เป็
นกลุ่
มช่
างอาชี
พที่
รั
บจ้
างเหมาก่
อสร้
างทั้
งตึ
กแถวและ
วั
ดวาอาราม ในยุ
คแรก ศิ
ลปะที่
ปรากฏยั
งมี
ความเป็
นช่
าง
ช่
องเปิ
ดหน้
าต่
างพื้
นบ้
านวั
ดโพธารามอุ
บล
ช่
องเปิ
ดหน้
าต่
างพื้
นบ้
านวั
ดโพธารามอุ
บล
กลุ่
มสกุ
ลช่
างพื้
นเมื
อง (อิ
ทธิ
พลช่
างหลวง)
เป็
น
กลุ่
มสกุ
ลช่
างที่
มี
ทั
กษะฝี
มื
อที่
พั
ฒนามาจาก “ช่
างพื้
นบ้
าน”
(ช่
างชาวบ้
าน) เป็
นกลุ่
มช่
างที่
กล่
าวได้
ว่
าเป็
นช่
างมื
ออาชี
พ
ที่
ประกอบอาชี
พรั
บเหมาก่
อสร้
างที่
มี
ประสบการณ์
มี
ทั
กษะ
ฝี
มื
อ ถึ
งแม้
จะมี
อาชี
พหลั
กในการทำ
�ไรไถนา แต่
หลั
งฤดู
เก็
บเกี่
ยวช่
างเหล่
านี้
ก็
จะออกหางานพิ
เศษทำ
� โดยเฉพาะ
ที่
เกี่
ยวกั
บงานช่
างด้
านการก่
อสร้
างทั้
งช่
างไม้
และช่
างปู
น
จนฝี
มื
อพั
ฒนาอยู่
ในขั้
นสู
งสามารถเที
ยบเคี
ยงกั
บช่
างหลวง
หรื
อช่
างราชสำ
�นั
ก ผลงานการสร้
างของช่
างสกุ
ลนี้
มั
ก
ฝากฝี
มื
อไว้
ตามวั
ดวาอารามในเขตเมื
องเป็
นส่
วนใหญ่
ดั
งนั้
นในภาคอี
สาน ช่
วงยุ
คบุ
กเบิ
กกลุ่
มช่
างพระสายสกุ
ล
พระมหาราชครู
โพนเสม็
ดหรื
อท่
านญาคู
ขี้
หอม ซึ่
งถื
อได้
ว่
า
เป็
นช่
างหลวงสายลาวเวี
ยงจั
นทน์
และกลุ่
มสกุ
ลช่
าง พระครู
วิ
โรจน์
รั
ตโนบล แห่
งวั
ดทุ่
งศรี
เมื
องของเมื
องอุ
บล ที่
ได้
รั
บการ
นั
บถื
อในเชิ
งช่
าง จนได้
รั
บความไว้
วางใจให้
ไปร่
วมบู
รณะพระ
ธาตุ
พนมเมื่
อ พ.ศ.๒๔๔๔
๗
ดั
งนั้
นจะเห็
นได้
ว่
านายช่
างในสาย
สกุ
ลพื้
นเมื
องมี
ทั้
งช่
างพระและสานุ
ศิ
ษย์
ที่
เป็
นฆราวาส โดย
เฉพาะเมื
องอุ
บล อุ
ดมไปด้
วยนายช่
างที่
มากฝี
มื
อในงานพุ
ทธ
ศิ
ลป์
ที่
ได้
รั
บการยอมรั
บ เช่
น
ช่
างคำ
�หมา แสงงาม ศิ
ลปิ
น
แห่
งชาติ
ผู้
ล่
วงลั
บ
สานุ
ศิ
ษย์
คนสำ
�คั
ญของ
พระครู
วิ
โรจน์
รั
ตโนบล
ที่
กล่
าวได้
ว่
าเป็
นกลุ่
ม
ช่
างอาชี
พกลุ่
มแรกๆ ในอี
สาน
ที่
เ ริ่
มรั
บงานรั
บเหมา
ก่
อสร้
างวั
ดวาอาราม
แข่
งกั
บช่
างชาว
เวี
ยดนามในช่
วง
ปี
๒๔ ๘ ๓ -
๒๔๘๔ จากแต่
เ ดิ
ม ที่
ท่
า น รั
บ
งานอยู่
ในแถบ
อุ
บลซึ่
งเป็
นบ้
าน
เ กิ
ด ข อ ง ท่
า น
โ ด ย ไ ด้
ย้
า ย
ครอบครั
วและ
ม า รั
บ ง า น ใ น
แ ถ บ จั
ง ห วั
ด
ร้
อยเอ็
ด รวมถึ
ง
จั
งหวั
ดอื่
นๆ ใน
แถบอี
สาน