๒๐
ที่
เป็
นศู
นย์
กลางทางการศาสนาที่
สำ
�คั
ญของอี
สาน ก็
มี
พระครู
วิ
โรจน์
รั
ตโนบล เจ้
าอาวาสวั
ดทุ่
งศรี
เมื
อง ซึ่
งท่
านเป็
นช่
างพระ
ที่
สำ
�คั
ญของอี
สานที่
มาบู
รณะองค์
พระธาตุ
พนมต่
อจากพระครู
โพนเสม็
ดโดยพระครู
วิ
โรจน์
รั
ตโนบลท่
านเป็
นช่
างพระที่
ได้
ออกแบบก่
อสร้
างพระอุ
โบสถในวั
ดต่
างๆ ของเมื
องอุ
บลและ
ใกล้
เคี
ยง
๔
และจากการเปลี่
ยนแปลงโครงสร้
างการปกครอง
คณะสงฆ์
ใหม่
จากระบบกระจายอำ
�นาจเป็
น
ระบบศู
นย์
อำ
�นาจ
ขึ้
นตรงต่
อมหาเถรสมาคม
ประกอบด้
วยเจ้
าคณะใหญ่
และรอง
เจ้
าคณะทั้
ง ๔ รวม ๘ รู
ป ให้
เป็
นที่
ปรึ
กษาในการพระศาสนา
และการปกครองของสั
งฆมณฑลทั่
วไป ซึ่
งการกำ
�หนดพระราช
บั
ญญั
ติ
มี
ทั้
งผลดี
ผลเสี
ย คื
อ รั
ฐบาลให้
การอุ
ดหนุ
นพระสงฆ์
ในการก่
อสร้
างปฏิ
สั
งขรณ์
ศาสนสถาน ให้
สมณศั
กดิ์
นิ
ตยภั
ตร
โดยยกเลิ
กสมณศั
กดิ์
แบบเดิ
มที่
เคยเป็
นมาที่
เรี
ยกว่
าพิ
ธี
เถรา
ภิ
เศกตามขั้
นยศพระแบบจารี
ตในวั
ฒนธรรมลาวเช่
น สำ
�เร็
จ
ซา คู
นั้
นคื
อการยกเลิ
กประเพณี
การ หดสงฆ์
ซึ่
งเป็
นประเพณี
การยกย่
องพระสงฆ์
ของท้
องถิ่
น ที่
ปฏิ
บั
ติ
ดี
ปฏิ
บั
ติ
ชอบภายใต้
การกำ
�กั
บของชาวบ้
านอย่
างให้
เกี
ยรติ
แบบมี
ส่
วนร่
วมระหว่
าง
ชุ
มชนกั
บพระสงฆ์
แต่
การปฏิ
รู
ปโครงสร้
างใหม่
นี้
ให้
เป็
นหน้
าที่
ดู
แลของส่
วนกลางโดยเถรสมาคมในการพระราชทานยศศั
กดิ์
ทำ
�ให้
เกิ
ดช่
องว่
างทางสั
งคมระหว่
างพระสงฆ์
กั
บชาวบ้
าน การ
เปลี่
ยนแปลงและปฏิ
รู
ปภายในคณะสงฆ์
ตั้
งแต่
สมั
ยรั
ชกาลที่
๔
ต่
อเนื่
องถึ
งรั
ชกาลที่
๕ ซึ่
งมี
การจั
ดระเบี
ยบพระราชบั
ญญั
ติ
การ
ปกครองคณะสงฆ์
ขึ้
นใหม่
พร้
อมๆ ไปกั
บการเปลี่
ยนรู
ปแบบการ
ปกครองบ้
านเมื
องแบบรั
ฐสมั
ยใหม่
ลดอำ
�นาจทางการเมื
องของ
ผู้
ปกครองท้
องถิ่
น เน้
นการรวมศู
นย์
อำ
�นาจทางการเมื
องอยู่
ที่
ส่
วนกลาง การก้
าวเข้
าสู่
ความเป็
นรั
ฐสมบู
รณาญาสิ
ทธิ
ราชย์
ของสยามเกิ
ดจากการปฏิ
รู
ปการปกครองในสมั
ยราชกาลที่
๕
ที่
มี
จุ
ดมุ่
งหมายเพื่
อสร้
างสถาบั
นพระมหากษั
ตริ
ย์
ให้
มี
อำ
�นาจ
ที่
เบ็
ดเสร็
จเด็
ดขาดในการปกครอง
๕
ดั
งนั้
นจะเห็
นได้
ว่
าการ
ศาสนาก็
คื
ออี
กหนึ่
งยุ
ทธศาสตร์
ทางการเมื
องแห่
งชาติ
ใน
กระแสหลั
กเฉกเช่
นที่
ได้
ส่
งผลกระทบโดยตรงและใหญ่
หลวง
แก่
องค์
กรคณะสงฆ์
รวมถึ
งวั
ตรปฏิ
บั
ติ
ต่
างๆ ของพระสงฆ์
ใน
ท้
องถิ่
น โดยการปรั
บเปลี่
ยนโครงสร้
างทางสั
งคมดั
งกล่
าว ได้
กลื
นกลายพระป่
าสายอี
สานให้
ถู
กเข้
าใจว่
าเป็
นส่
วนหนึ่
งของ
ธรรมยุ
ติ
นิ
กายจากกรุ
งเทพฯ โดยกลุ่
มธรรมยุ
ติ
เน้
นวิ
ถี
การปฏิ
บั
ติ
สมาธิ
วิ
ปั
สสนาอย่
างมี
กรอบกฎเกณฑ์
ที่
ยึ
ดมั่
นด้
วยรู
ปแบบแต่
ในขณะที่
พระอี
สานจะมี
ความยื
ดหยุ่
นไม่
ยึ
ดรู
ปแบบวิ
ธี
การจน
ทำ
�ให้
เกิ
ดความขั
ดแย้
ง ด้
วยบริ
บททางวั
ฒนธรรมเดิ
มของสั
งคม
ชาวนาอี
สาน ที่
เป็
นพระพุ
ทธศาสนาแบบชาวบ้
านนั้
นมี
ความ
หอโปง หอระฆั
งวั
ดทุ่
งศรี
เมื
องอุ
บลศิ
ลปพื้
นเมื
อง
พระราชบั
ญญั
ติ
การปกครองคณะสงฆ์
รศ.๑๒๑
(พ.ศ.๒๔๔๖) กั
บผลกระทบต่
องานช่
างพื้
นถิ่
นอี
สาน
พระราชบั
ญญั
ติ
ฉบั
บนี้
ได้
ส่
งผลกระทบทั้
งทางตรง
และทางอ้
อมต่
องานช่
างพื้
นถิ่
นอี
สานอย่
างเห็
นได้
ชั
ดจากการ
ประกาศ
ข้
อกำ
�หนดที่
ไม่
ให้
พระสงฆ์
สามเณรก่
อสร้
างและ
บู
รณะวั
ดวาอารามด้
วยตนเอง
ธรรมเนี
ยมที่
พระสงฆ์
สามเณร
ในหั
วเมื
องอี
สาน เป็
นผู้
ก่
อสร้
างและเป็
นผู้
บู
รณะวั
ดวาอาราม
ด้
วยตนเอง มี
อยู่
ทั่
วไปในสมั
ยโบราณ ทั้
งนี้
เพราะเป็
นหน้
าที่
ของ
พระสงฆ์
ที่
จะทำ
�หน้
าที่
ดั
งกล่
าว ดั
งปรากฏใน
“ครองพระสงฆ์
”
ข้
อหนึ่
งซึ่
งให้
สมณะสงฆ์
พร้
อมกั
นสร้
างวั
ดวาอาราม พระธาตุ
เจดี
ย์
๒
แต่
ทั้
งนี้
เมื่
อศึ
กษาประวั
ติ
ศาสตร์
จะพบว่
ามี
พระสงฆ์
ผู้
ใหญ่
ที่
สำ
�คั
ญหลายๆ ท่
านล้
วนแล้
วแต่
มี
ความเชี่
ยวชาญใน
เชิ
งช่
างอยู
่
ในระดั
บสู
งที
่
มี
สานุ
ศิ
ษย์
มากมายกลายเป็
นสายสกุ
ลช่
าง
ที่
สำ
�คั
ญของภาคอี
สาน เช่
นพระมหาราชครู
โพนเสม็
ดหรื
อท่
าน
ญาคู
ขี้
หอม ที่
ได้
สร้
างนฤมิ
ตรกรรมงานช่
างมากมายระหว่
างที่
หนี
ภั
ยการเมื
องมาทางแม่
น้ำ
�โขง อาทิ
ท่
านได้
บู
รณะพระธาตุ
พนม
๓
นอกจากนี้
ท่
านยั
งได้
สร้
างพระธาตุ
ต่
างๆ อี
กมากมาย หรื
อ แม้
ในสมั
ยที่
มี
ความพยามยาม รวมคณะสงฆ์
อี
สานเข้
ากั
บคณะ
สงฆ์
ไทยก็
มี
พระสงฆ์
ที่
เชี่
ยวชาญงานช่
างเฉกเช่
นที่
เมื
องอุ
บล