Page 8 - sep52

Basic HTML Version

ร้
อยเรื่
องวั
นสำคั
นสารทไทย
เป็
นการทำบุ
ญเดื
อน ๑๐ ของไทย
ตรงกั
บวั
นแรม ๑๕ ค่
ำ เดื
อน ๑๐ (ประมาณปลาย
เดื
อนกั
นยายน-ตุ
ลาคม)
คำว่
สารท
พระยาอนุ
มานราชธน ได้
เขี
ยนไว้
ใน
หนั
งสื
อเทศกาลและประเพณี
ไทยว่
าเป็
นคำอิ
นเดี
ย หมายถึ
ง ฤดู
เป็
นช่
วงระยะเวลาที่
พื
ชพั
นธุ์
และผลไม้
เริ่
มสุ
กและให้
พื
ชผล
เป็
นครั้
งแรกในฤดู
ประชาชนจะรู้
สึ
กยิ
นดี
กั
บพื
ชผลที่
เก็
บเกี่
ยว
ได้
ครั้
งแรกนี้
แล้
วจะนำไปบู
ชาสิ่
งศั
กดิ์
สิ
ทธิ์
ที่
ตนนั
บถื
อ เพื่
อความ
เป็
นสิ
ริ
มงคลและแสดงความเคารพที่
ท่
านช่
วยให้
พื
ชพั
นธุ์
ธั
ญญาหาร
อุ
ดมสมบู
รณ์
จนเก็
บเกี่
ยวได้
การทำบุ
ญวั
นสารทในประเทศไทย มี
มาตั้
งแต่
สมั
สุ
โขทั
ย ตามที่
ปรากฏหลั
กฐานในหนั
งสื
อของนางนพมาศ
เนื่
องจากศาสนาพราหมณ์
เผยแผ่
เข้
ามาในประเทศไทย คนไทย
จึ
งรั
บประเพณี
นี้
มาจากศาสนาพราหมณ์
“การทำบุ
ญสารท
คื
อ ฤดู
ข้
าวรวงเป็
นน้
ำนมนี้
แก่
พราหมณ์
เมื่
อการพระราชพิ
ธี
ของพราหมณ์
ตกเข้
ามาในแผ่
นดิ
นสยาม
ก็
เลยต้
องประพฤติ
ตามลั
ทธิ
พราหมณ์
ด้
วย ซึ่
งนางนพมาศได้
กล่
าว
ไว้
ว่
า เป็
นฤดู
ที่
ชนทั้
งปวงกวนข้
าวปายาสและทำยาคู
เลี้
ยงพราหมณ์
เมื่
อสมณพราหมณ์
เป็
นคู่
กั
นเช่
นนั้
น ผู้
ซึ่
งนั
บถื
อพระพุ
ทธศาสนา
ในชั้
นแรกที่
เข้
ารี
ตใหม่
เคยถื
อพราหมณ์
เดิ
มได้
ทำบุ
ญตามฤดู
กาล
แก่
พราหมณ์
เดิ
มมาอย่
างไร ครั้
นเมื่
อมาเข้
ารี
ตถื
อพุ
ทธศาสนาแล้
เมื่
อถึ
งกำหนดที่
ตั
วเคยทำบุ
ญ ผู้
ใดละเลยจะนิ่
งเสี
ยไม่
ทำ เมื่
เชื่
อว่
าพระพุ
ทธเจ้
าและพระสงฆ์
เป็
นเนื้
อนาบุ
ญอั
นวิ
เศษยิ่
งขึ้
ไปกว่
าพราหมณ์
ก็
ต้
องมาถวายพระสงฆ์
เหมื
อนเช่
นเคยทำอยู่
แก่
พราหมณ์
ถ้
าผู้
ใดจะละทิ้
งศาสนาพราหมณ์
เดิ
มของตั
วให้
ขาดไม่
ได้
เพราะความเกรงใจก็
ลงเป็
นทำทั้
งสองฝ่
าย ถวายทานแก่
สมณะ
ด้
วยพราหมณ์
ด้
วย”
การทำบุ
ญวั
นสารทนั้
นไม่
ได้
มี
ปรากฏแต่
ในศาสนาพราหมณ์
เท่
านั้
น ในศาสนาพุ
ทธก็
มี
ปรากฏในหนั
งสื
อพระธรรมบท
เล่
มหนึ่
งสรุ
ปได้
ว่
เมื่
อพระพุ
ทธวิ
ปั
สสี
ได้
เกิ
ดขึ้
นในโลกมี
พี่
น้
องสองคนชื่
มหากาลเป็
นพี่
และจุ
ลกาลเป็
นน้
อง ทำการเกษตรกรรมร่
วมกั
ปลู
กข้
าวสาลี
บนที่
ผื
นเดี
ยวกั
น จุ
ลกาลนั้
นเห็
นว่
าข้
าวสาลี
ที่
กำลั
ท้
องนั้
นมี
รสหวานอร่
อย เห็
นว่
าควรนำข้
าวนั้
นไปถวายแด่
พระสงฆ์
จึ
งนำความไปปรึ
กษากั
บมหากาลพี่
ชาย แต่
มหากาล
ไม่
เห็
นด้
วยเนื่
องจากไม่
เคยมี
ผู้
ใดเคยทำมาก่
อน อี
กทั้
งก็
ไม่
เห็
ประโยชน์
ที่
จะเกิ
ดขึ้
น แต่
จุ
ลกาลมี
ความตั้
งใจอย่
างแรงกล้
าที่
จะนำ
ข้
าวไปถวายแด่
พระภิ
กษุ
มหากาลจึ
งแบ่
งที่
ดิ
นออกเป็
น ๒ ส่
วน
ของตนส่
วนหนึ่
งและของจุ
ลกาลส่
วนหนึ่
ง ซึ่
งจะนำข้
าวส่
วนนั้
ไปใช้
กิ
จอั
นใดก็
ได้
จุ
ลกาลจึ
งนำเมล็
ดข้
าวที่
กำลั
งตั้
งท้
องมาผ่
นำเมล็
ดข้
าวต้
มกั
บน้
ำนมสด ใส่
เนยใส น้
ำผึ้
ง น้
ำตาลกรวด เมื่
เสร็
จแล้
วจึ
งนำไปถวายแด่
พระสงฆ์
เมื่
อถวายภั
ตตาหารเหล่
านี้
แด่
พระสงฆ์
จุ
ลกาลได้
ทู
ลความปรารถนาของตนกั
บพระพุ
ทธเจ้
าว่
“ด้
วยศพภสลี
ทานนี้
จงเป็
นเหตุ
ให้
ข้
าพเจ้
าบรรลุ
ธรรมวิ
เศษก่
อน
ชนทั้
งปวง”
เมื่
อจุ
ลกาลเสร็
จธุ
ระจากการถวายภั
ตตาหารแด่
ภิ
กษุ
วั
วั
นสารทไทย
วารสารวั
ฒนธรรมไทย
สิ
ริ
วิ
ภา ขุ
นเอม...เรี
ยบเรี
ยง