Page 106 - Culture2-2016
P. 106
ผมเหน็ ดว้ ยอยา่ งยง่ิ กบั ความคดิ ทต่ี อ้ งมกี ารปรบั ปรงุ แกไ้ ข ทกุ เพศวยั ทงั้ คนจนคนรวย คนฉลาดคนไมฉ่ ลาด ยกเวน้ กลมุ่ เดยี ว
ท้ังเนื้อหาบางอย่างของกฎหมายและท้ังวิธีการใช้กฎหมาย คือคนท่ีพกิารทางสายตา
ด้วยความเชอ่ืที่ว่ากฎหมายใดก็ตามที่ใช้มานานพอสมควรแล้ว ทาอยา่งไรเราจะตรวจพจิารณาหนงัโดยใหค้นทงั้สามฝา่ยน้ี
ควรได้รบั การปรบั ปรงุ แก้ไขให้ทนั ยคุ ทนั สมยั มากขนึ้ โดยเฉพาะ ‘ได้’ โดยเฉล่ียไปใกล้เคียงกันทั้งหมด มิใช่ให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด
อยา่ งยงิ่ ในโลกยคุ ใหมท่ ที่ งั้ เทคโนโลยแี ละจติ ใจคนลว้ นเปลย่ี นแปลง ได้มากกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง หรอื ท้ังสองฝ่าย
มากขน้ึ และเรว็ ขนึ้ น้ี การปรบั ปรงุ เปลยี่ นแปลงกย็ งิ่ จา เปน็ มากขน้ึ กล่าวคือ เริ่มต้ังแต่ฝ่ายท่ี ๑ คือฝ่ายหนังก็ได้ คือหนัง
ในยุคปัจจบุัน
ของเขาได้ฉายส่วนฝ่ายที่๒ราชการก็ได้คือได้ใช้กฎหมาย
ผมมคีวามเหน็สว่นตวัในการมองภาพกวา้งวา่การตรวจ ได้ดแูลไม่ให้มีการฝ่าฝืนกฎหมายจนในทสีุ่ดฝ่ายที่๓คือคนดู
พิจารณาภาพยนตร์ในสังคมไทยทุกวันนี้ล้วนเกี่ยวข้องอยู่กับ กไ็ ด้ คือได้ดหู นังดงั ที่ตนต้องการ
กลุ่มคน ๓ ฝ่ายนี้เท่านั้น คือ ๑) ฝ่ายหนัง ๒) ฝ่ายราชการ และ แม้ว่าส่ิงที่ได้น้ันจะไม่ใช่ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์แห่งความ
ต้องการที่แต่ละฝ่ายอยากได้รับ แต่ถ้าเราจะทา หรือพยายาม
๓) ฝ่ายคนดหู นงั
ฝ่ายที่ ๑ นับรวมทั้งหมดต้ังแต่เจ้าของเงิน คนทาหนัง ทาให้ทุกฝ่าย ‘ได้’ ให้มากที่สุดเท่าท่ีจะเป็นไปได้ และ ‘ได้’
คนหากินกบัหนงัท่มีีอยู่สารพัดธุรกิจซง่ึรวมทง้ัโรงหนงั
ในปริมาณท่ใี กล้เคยี งกนั แล้ว ผลทไี่ ด้ก็น่าจะเป็นไปได้ดี
ฝ่ายท่ี ๒ คือผู้ใช้กฎหมายหนัง อันมีท้ังข้าราชการ
ท้งั คณะกรรมการ ท่ีเกยี่ วข้องกับกฎหมายหนงั ในปัจจุบนั
ทั้งหมดนี้คือประสบการณ์และข้อคิดท่ีผมขอฝากแด่
ฝ่ายท่ี๓คือประชาชนคนดูหนังทั้งประเทศท่ีมีคน
ผูส้นใจเรือ่งหนังทกุทา่นไว้ด้วยความรกัและนบัถอื
104