๒๙
๒๕๓๕ ความบางตอนที่
ว่
า
“…ก็
อาจจะเบื่
อคำ
�ว่
าเสี
ยสละ ต้
องรู้
จั
กคำ
�ว่
า
สามั
คคี
ก็
อาจจะเบื่
อคำ
�ว่
าสามั
คคี
อะไรๆ ก็
ให้
สามั
คคี
กั
น
ให้
อะไรก็
ให้
เมตตากั
น...”
“…ใช้
ความคิ
ดที่
เรี
ยกว่
าสร้
างสรรค์
นี้
หมายถึ
ง
ความคิ
ดที่
ถู
กตรง ที่
ใช้
ความรู้
ใช้
ความที่
เรี
ยกว่
าใจเย็
นคื
อ
ไม่
ใช่
เรื่
องที่
ตั
วเองจะได้
อะไร ตั
วเองจะไม่
ได้
อะไร แต่
ว่
า
เรื่
องจะสำ
�เร็
จเรี
ยบร้
อยสำ
�หรั
บประเทศหรื
อไม่
อย่
างน้
อย
ที่
สุ
ด สำ
�หรั
บส่
วนรวม...”
พระบาทสมเด็
จพระเจ้
าอยู่
หั
วได้
มี
พระราชดำ
�รั
ส
ในเรื่
อง รู้
รั
กสามั
คคี
มาอย่
างต่
อเนื่
องและทรงใช้
หลั
กการ
ดั
งกล่
าวในการทรงงานเพี่
อประกอบพระราชกรณี
ยกิ
จ
ช่
วยเหลื
อราษฎร ดั
งมี
พระอรรถาธิ
บายว่
า
“…รู้
คื
อ การ
ที่
เราจะลงมื
อทำ
�สิ่
งใดนั้
น จะต้
องเรี
ยนรู้
ก่
อน รู้
ถึ
งปั
จจั
ย
ทั้
งหมด รู้
ถึ
งปั
ญหา และรู้
ถึ
งวิ
ธี
การแก้
ปั
ญหา”
รั
กคื
อ ความรั
ก เมื่
อเรารู้
ครบด้
วยกระบวนความ
แล้
ว จะต้
องมี
ความรั
กการพั
ฒนาที่
จะเข้
าไปลงมื
อปฏิ
บั
ติ
แก้
ไข้
ปั
ญหานั้
นๆ
สามั
คคี
คื
อ การที่
จะลงมื
อปฏิ
บั
ติ
นั้
นควรคำ
�นึ
ง
เสมอว่
า เราจะทำ
�งานคนเดี
ยวไม่
ได้
ต้
องทำ
�งานร่
วมมื
อ
ร่
วมใจเป็
นองค์
กร เป็
นหมู่
คณะ จึ
งจะมี
พลั
งเข้
าไปแก้
ปั
ญหาให้
ลุ
ล่
วงไปได้
ด้
วย...”
นอกจากนี้
ยั
งทรงเน้
นย้ำ
�ถึ
งความสำ
�คั
ญของการ
ร่
วมแรงร่
วมใจ โดยเฉพาะเรื่
องความสามั
คคี
ที่
จะสามารถ
นำ
�พาบ้
านเมื
องให้
มี
ความมั่
นคงถาวรดั
งพระราชดำ
�รั
ส
ที่
พระราชทานแก่
คณะบุ
คคลต่
างๆ ที่
เข้
าเฝ้
าฯ ถวาย
พระพรชั
ยมงคลในโอกาสวั
นเฉลิ
มพระชนมพรรษา
ณ ศาลาดุ
สิ
ดาลั
ย สวนจิ
ตรลดา พระราชวั
งดุ
สิ
ต เมื่
อ
วั
นพุ
ธที่
๔ ธั
นวาคม พุ
ทธศั
กราช ๒๕๓๔ ว่
า
“…ทุ
กคนรู้
ว่
าต้
องมี
ความสามั
คคี
“รู้
” ก็
คื
อ
“ทราบ” ทราบความหมายของสามั
คคี
“รั
ก” คื
อ “นิ
ยม”
นิ
ยมความสามั
คคี
เพราะเหตุ
ใดคนไทยจึ
ง “รู้
รั
กสามั
คคี
”
ก็
เพราะคนไทยนี่
ฉลาด ไม่
ใช่
ไม่
ฉลาด คนไทยที่
ฉลาด รู้
ว่
าถ้
าหากเมื
องไทยไม่
ใช้
ความสามั
คคี
ไม่
เห็
นอกเห็
นใจ
กั
น ไม่
ใช้
อะไรที่
พอจะรั
บกั
นได้
พอที่
จะใช้
ได้
ก็
คงจะไม่
ได้
ทำ
�อะไร หมายความว่
า ทำ
�มาหากิ
นไม่
ได้
... “รู้
รั
กสามั
คคี
”
หมายความว่
า รู้
จั
กการอะลุ้
มอล่
วยกั
น...ทุ
กสิ่
งทุ
กอย่
าง
ไม่
มี
อะไรที่
ดี
ร้
อยเปอร์
เซ็
นต์
แต่
ว่
าว่
าต้
องใช้
อะไรที่
พอใช้
ได้
ไป ไม่
อย่
างนั้
นไม่
มี
วั
นที่
จะมี
ชี
วิ
ตรอดได้
...”