Page 16 - fab53

Basic HTML Version

วั
นมาฆบู
ชา
จะตรง
กั
วั
นเพ็
ญเดื
อนมาฆะ
หรื
วั
นขึ้
น ๑๕ ค่ำ
� เดื
อน ๓ เป็
วั
นที่
เกิ
ดเหตุ
การณ์
ที่
สำ
�คั
ทางพระพุ
ทธศาสนา คื
ในวั
นนั้
นนอกจากจะเป็
วั
นเพ็
ญเดื
อนมาฆะ
แล้
ว ยั
เป็
นวั
นที่
พระสงฆ์
จำ
�นวน
๑,๒๕๐ รู
ป มาเข้
าเฝ้
พร ะพุ
ทธ เ จ้
าพร้
อมกั
โดยมิ
ได้
นั
ดหมาย, แล้
สรุ
ปคื
ให้
ละความชั่
วทุ
กชนิ
ด ทำ
�ความดี
ให้
ถึ
งพร้
อม
และทำ
�จิ
ตใจให้
ผ่
องใส
โดยหลั
กธรรมคำ
�สอนดั
งกล่
าว
จะเรี
ยกว่
าเป็
ธรรมนู
ญแห่
งพุ
ทธศาสนา
หรื
หั
วใจ
ของพุ
ทธศาสนา
ก็
ได้
ดั
งนั้
โอวาทปาติ
โมกข์
จึ
งชี้
ชั
ถึ
งความเป็
นสมณะและบรรพชิ
ตในพระพุ
ทธศาสนาที่
แตกต่
างจากศาสนาอื่
น อั
นเป็
นรากฐานที่
ทำ
�ให้
พระพุ
ทธ
ศาสนามั่
นคงอยู่
มาจนถึ
งปั
จจุ
บั
ความเป็
นมาของวั
นมาฆบู
ชาในประเทศไทยนั้
เริ่
มมี
พิ
ธี
บู
ชาเนื่
องในวั
นมาฆบู
ชาเป็
นครั้
งแรกในรั
ชสมั
ของพระบาทสมเด็
จพระจอมเกล้
าเจ้
าอยู่
หั
ว (รั
ชกาลที่
๔)
พระองค์
ได้
ทรงปรารภถึ
งความสำ
�คั
ญของวั
นมาฆบู
ชาว่
มี
เหตุ
การณ์
สำ
�คั
ญเกิ
ดขึ้
นพร้
อมกั
นถึ
ง ๔ ประการในวั
เดี
ยวกั
น หรื
อที่
เรี
ยกว่
จาตุ
รงคสั
นนิ
บาต
จึ
งสมควรที่
พุ
ทธศาสนิ
กชนจะได้
ทำ
�การบู
ชาเพื่
อระลึ
กถึ
งความสำ
�คั
ของวั
นดั
งกล่
าว และพระคุ
ณของพระพุ
ทธเจ้
า พระองค์
ทรงให้
จั
ดพิ
ธี
บู
ชาเนื่
องในวั
นมาฆบู
ชาขึ้
นในพระราชวั
โดยโปรดให้
มี
การประกอบพระราชกุ
ศลในเวลาเช้
าด้
วย
การนิ
มนต์
พระสงฆ์
เจริ
ญพระพุ
ทธมนต์
และฉั
นภั
ตตาหาร
ในพระอุ
โบสถวั
ดพระศรี
รั
ตนศาสดาราม ในเวลาค่ำ
พระองค์
จะเสด็
จออกฟั
งพระสงฆ์
ทำ
�วั
ตรเย็
น สวดโอวาท
ปาติ
โมกข์
และทรงจุ
ดเที
ยนรายตามราวรอบพระอุ
โบสถ
จำ
�นวน ๑,๒๕๐ เล่
ม พระภิ
กษุ
เทศนาโอวาทปาติ
โมกข์
พระสงฆ์
จำ
�นวน ๓๐ รู
ป สวดมนต์
รั
บเทศนา เป็
นเสร็
พิ
ธี
ต่
อ ม า ใ น รั
ช ส มั
ย ข อ ง พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็
พระจุ
ลจอมเกล้
าเจ้
าอยู่
หั
ว (รั
ชกาลที่
๕) พระองค์
ทรง
นำ
�พิ
ธี
บู
ชาเนื่
องในวั
นมาฆบู
ชาไปประกอบในสถานที่
อื่
นๆ นอกพระบรมมหาราชวั
ง อย่
างเช่
นในคราวเสด็
ประพาสต้
นที่
บางปะอิ
น พระพุ
ทธบาท พระปฐมเจดี
ย์
ณ พงษ์
เพชร...เรื่
อง
พระสงฆ์
เหล่
านั้
นล้
วนเป็
นเอหิ
ภิ
กขุ
คื
อ ได้
รั
บการ
อุ
ปสมบทจากพระพุ
ทธเจ้
า, และล้
วนเป็
นพระอรหั
นต์
ผู้
ได้
อภิ
ญญา ๖
(หมายถึ
ง ความรู้
ยิ่
งยวด มี
๖ อย่
าง
ได้
แก่
๑. อิ
ทธิ
วิ
ธา คื
อ แสดงฤทธิ์
ได้
๒. ทิ
พพโสตญาณ
คื
อ ญาณที่
ทำ
�ให้
มี
หู
ทิ
พย์
๓. เจโตปริ
ยญาณ คื
อ ญาณ
ที่
กำ
�หนดใจคนอื่
นได้
๔. ปุ
พเพนิ
วาสานุ
สสติ
ญาณ คื
ญาณที่
ทำ
�ให้
ระลึ
กชาติ
ได้
๕. ทิ
พพจั
กขุ
ญาณ คื
อ ญาณ
ที่
ทำ
�ให้
มี
ตาทิ
พย์
๖. อาสวั
กขยญาณ คื
อ ญาณที่
ทำ
�ให้
อาสวะสิ้
นไป) การเกิ
ดขึ้
นของเหตุ
การณ์
ทั้
ง ๔ ประการ
นี้
เรี
ยกว่
า จาตุ
รงคสั
นนิ
บาต คื
อ การประชุ
มที่
ประกอบ
ด้
วยองค์
๔ และในโอกาสนี้
พระพุ
ทธเจ้
าทรงแสดงโอวาท
ปาติ
โมกข์
ซึ่
งเหตุ
การณ์
นี้
เกิ
ดขึ้
นขณะที่
พระพุ
ทธเจ้
าทรง
ประทั
บอยู่
ณ วั
ดเวฬุ
วั
น กรุ
งราชคฤห์
ก่
อนเข้
าพรรษาที่
๒ (หลั
งจากตรั
สรู้
๙ เดื
อน)
เหตุ
ที่
พระพุ
ทธเจ้
าทรงแสดงโอวาทปาติ
โมกข์
เนื่
องจากเห็
นว่
า เป็
นโอกาสเหมาะที่
จะ
ประกาศ
หลั
กการ อุ
ดมการณ์
และวิ
ธี
การปฏิ
บั
ติ
ในการเผยแพร่
พุ
ทธศาสนาให้
นำ
�ไปใช้
ได้
ในทุ
กสั
งคม
ซึ่
งมี
เนื้
อหาโดย
๑๔