วั
นมาฆบู
ชา
จะตรง
กั
บ
วั
นเพ็
ญเดื
อนมาฆะ
หรื
อ
วั
นขึ้
น ๑๕ ค่ำ
� เดื
อน ๓ เป็
น
วั
นที่
เกิ
ดเหตุ
การณ์
ที่
สำ
�คั
ญ
ทางพระพุ
ทธศาสนา คื
อ
ในวั
นนั้
นนอกจากจะเป็
น
วั
นเพ็
ญเดื
อนมาฆะ
แล้
ว ยั
ง
เป็
นวั
นที่
พระสงฆ์
จำ
�นวน
๑,๒๕๐ รู
ป มาเข้
าเฝ้
า
พร ะพุ
ทธ เ จ้
าพร้
อมกั
น
โดยมิ
ได้
นั
ดหมาย, แล้
ว
สรุ
ปคื
อ
ให้
ละความชั่
วทุ
กชนิ
ด ทำ
�ความดี
ให้
ถึ
งพร้
อม
และทำ
�จิ
ตใจให้
ผ่
องใส
โดยหลั
กธรรมคำ
�สอนดั
งกล่
าว
จะเรี
ยกว่
าเป็
น
ธรรมนู
ญแห่
งพุ
ทธศาสนา
หรื
อ
หั
วใจ
ของพุ
ทธศาสนา
ก็
ได้
ดั
งนั้
น
โอวาทปาติ
โมกข์
จึ
งชี้
ชั
ด
ถึ
งความเป็
นสมณะและบรรพชิ
ตในพระพุ
ทธศาสนาที่
แตกต่
างจากศาสนาอื่
น อั
นเป็
นรากฐานที่
ทำ
�ให้
พระพุ
ทธ
ศาสนามั่
นคงอยู่
มาจนถึ
งปั
จจุ
บั
น
ความเป็
นมาของวั
นมาฆบู
ชาในประเทศไทยนั้
น
เริ่
มมี
พิ
ธี
บู
ชาเนื่
องในวั
นมาฆบู
ชาเป็
นครั้
งแรกในรั
ชสมั
ย
ของพระบาทสมเด็
จพระจอมเกล้
าเจ้
าอยู่
หั
ว (รั
ชกาลที่
๔)
พระองค์
ได้
ทรงปรารภถึ
งความสำ
�คั
ญของวั
นมาฆบู
ชาว่
า
มี
เหตุ
การณ์
สำ
�คั
ญเกิ
ดขึ้
นพร้
อมกั
นถึ
ง ๔ ประการในวั
น
เดี
ยวกั
น หรื
อที่
เรี
ยกว่
า
จาตุ
รงคสั
นนิ
บาต
จึ
งสมควรที่
พุ
ทธศาสนิ
กชนจะได้
ทำ
�การบู
ชาเพื่
อระลึ
กถึ
งความสำ
�คั
ญ
ของวั
นดั
งกล่
าว และพระคุ
ณของพระพุ
ทธเจ้
า พระองค์
ทรงให้
จั
ดพิ
ธี
บู
ชาเนื่
องในวั
นมาฆบู
ชาขึ้
นในพระราชวั
ง
โดยโปรดให้
มี
การประกอบพระราชกุ
ศลในเวลาเช้
าด้
วย
การนิ
มนต์
พระสงฆ์
เจริ
ญพระพุ
ทธมนต์
และฉั
นภั
ตตาหาร
ในพระอุ
โบสถวั
ดพระศรี
รั
ตนศาสดาราม ในเวลาค่ำ
�
พระองค์
จะเสด็
จออกฟั
งพระสงฆ์
ทำ
�วั
ตรเย็
น สวดโอวาท
ปาติ
โมกข์
และทรงจุ
ดเที
ยนรายตามราวรอบพระอุ
โบสถ
จำ
�นวน ๑,๒๕๐ เล่
ม พระภิ
กษุ
เทศนาโอวาทปาติ
โมกข์
พระสงฆ์
จำ
�นวน ๓๐ รู
ป สวดมนต์
รั
บเทศนา เป็
นเสร็
จ
พิ
ธี
ต่
อ ม า ใ น รั
ช ส มั
ย ข อ ง พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็
จ
พระจุ
ลจอมเกล้
าเจ้
าอยู่
หั
ว (รั
ชกาลที่
๕) พระองค์
ทรง
นำ
�พิ
ธี
บู
ชาเนื่
องในวั
นมาฆบู
ชาไปประกอบในสถานที่
อื่
นๆ นอกพระบรมมหาราชวั
ง อย่
างเช่
นในคราวเสด็
จ
ประพาสต้
นที่
บางปะอิ
น พระพุ
ทธบาท พระปฐมเจดี
ย์
ณ พงษ์
เพชร...เรื่
อง
พระสงฆ์
เหล่
านั้
นล้
วนเป็
นเอหิ
ภิ
กขุ
คื
อ ได้
รั
บการ
อุ
ปสมบทจากพระพุ
ทธเจ้
า, และล้
วนเป็
นพระอรหั
นต์
ผู้
ได้
อภิ
ญญา ๖
(หมายถึ
ง ความรู้
ยิ่
งยวด มี
๖ อย่
าง
ได้
แก่
๑. อิ
ทธิ
วิ
ธา คื
อ แสดงฤทธิ์
ได้
๒. ทิ
พพโสตญาณ
คื
อ ญาณที่
ทำ
�ให้
มี
หู
ทิ
พย์
๓. เจโตปริ
ยญาณ คื
อ ญาณ
ที่
กำ
�หนดใจคนอื่
นได้
๔. ปุ
พเพนิ
วาสานุ
สสติ
ญาณ คื
อ
ญาณที่
ทำ
�ให้
ระลึ
กชาติ
ได้
๕. ทิ
พพจั
กขุ
ญาณ คื
อ ญาณ
ที่
ทำ
�ให้
มี
ตาทิ
พย์
๖. อาสวั
กขยญาณ คื
อ ญาณที่
ทำ
�ให้
อาสวะสิ้
นไป) การเกิ
ดขึ้
นของเหตุ
การณ์
ทั้
ง ๔ ประการ
นี้
เรี
ยกว่
า จาตุ
รงคสั
นนิ
บาต คื
อ การประชุ
มที่
ประกอบ
ด้
วยองค์
๔ และในโอกาสนี้
พระพุ
ทธเจ้
าทรงแสดงโอวาท
ปาติ
โมกข์
ซึ่
งเหตุ
การณ์
นี้
เกิ
ดขึ้
นขณะที่
พระพุ
ทธเจ้
าทรง
ประทั
บอยู่
ณ วั
ดเวฬุ
วั
น กรุ
งราชคฤห์
ก่
อนเข้
าพรรษาที่
๒ (หลั
งจากตรั
สรู้
๙ เดื
อน)
เหตุ
ที่
พระพุ
ทธเจ้
าทรงแสดงโอวาทปาติ
โมกข์
เนื่
องจากเห็
นว่
า เป็
นโอกาสเหมาะที่
จะ
ประกาศ
หลั
กการ อุ
ดมการณ์
และวิ
ธี
การปฏิ
บั
ติ
ในการเผยแพร่
พุ
ทธศาสนาให้
นำ
�ไปใช้
ได้
ในทุ
กสั
งคม
ซึ่
งมี
เนื้
อหาโดย
๑๔