๑๐
งามอย่
างไทย
ดร. หทั
ยรั
ตน์
มาประณี
ต…เรื่
อง
ยิ้
ม
ถื
อเป็
นวั
ฒนธรรมที่
งดงามของสั
งคมไทย เราให้
ความสำ
�คั
ญกั
บการยิ้
มมาช้
านาน มี
บทกลอนที่
ส่
งเสริ
มให้
คน
ไทยหั
นมายิ้
มให้
แก่
กั
น จนเป็
นที่
ติ
ดปากคนรุ่
นก่
อนเมื่
อ ๖๐
กว่
าปี
ที่
ผ่
านมาว่
า “ยิ้
มเถิ
ดนะยิ้
ม ยิ้
มแย้
มแจ่
มใส สุ
ขสำ
�ราญ
บานใจ ขอให้
สวั
สดี
” ยิ้
มยั
งเป็
นเอกลั
กษณ์
ที่
โดดเด่
นของ
ประเทศไทย และได้
สร้
างความประทั
บใจและความอบอุ่
น
ใจให้
แก่
ชาวต่
างชาติ
ที่
มาเยื
อนประเทศเรา เพราะเห็
นว่
าคน
ไทยนั้
นยิ้
มเก่
ง ยิ้
มง่
าย ยิ้
มไว้
ก่
อนเสมอ รอยยิ้
มจึ
งถู
กใช้
ใน
การประชาสั
มพั
นธ์
และส่
งเสริ
มการท่
องเที่
ยวให้
ทั่
วโลกเห็
น
ว่
าประเทศไทยเป็
นสยามเมื
องยิ้
ม แต่
หากลองสั
งเกตกั
น
ในปั
จจุ
บั
นว่
า คนไทยเริ่
มยิ้
มน้
อยลงทุ
กที
ไม่
ว่
าจะเป็
นยิ้
มให้
กั
นเองหรื
อยิ้
มให้
ชาวต่
างชาติ
อาจเป็
นเพราะสภาพเศรษฐกิ
จ
ที่
ต่
างคนต่
างแข่
งขั
น เร่
งรี
บทำ
�มาหากิ
น ทำ
�งานระยะเวลา
นาน เครี
ยดจากการทำ
�งานและการเดิ
นทาง ทำ
�ให้
ยิ้
มไม่
ออก
หรื
อไม่
เห็
นความสำ
�คั
ญของการยิ้
ม แต่
หากเราได้
ยิ้
มวั
นละนิ
ด
ไม่
ว่
าเผชิ
ญกั
บปั
ญหา ความทุ
กข์
ยาก หรื
อความโศกเศร้
า
ใด ๆ เราจะมี
เรี่
ยวแรงที่
จะฝ่
าฟั
นอุ
ปสรรคเหล่
านั้
นไปได้
จิ
ตใจของเราก็
จะแจ่
มใส เรื่
องหนั
กก็
จะกลายเป็
นเบา ความ
รู้
สึ
กโศกเศร้
าก็
จะผ่
อนคลายขึ้
น เพราะว่
ารอยยิ้
ม คื
อ กำ
�ลั
ง
ใจของชี
วิ
ตเรานั่
นเอง
ยิ้
ม
ในพจนานุ
กรมฉบั
บราชบั
ณฑิ
ตยสถาน พ.ศ.
๒๕๔๒ แสดงให้
ปรากฎว่
าชอบใจ เยาะเย้
ย เกลี
ยดชั
ง
เป็
นต้
น ด้
วยริ
มฝี
ปากและใบหน้
า ลั
กษณะของยิ้
มมี
ทั้
งเชิ
ง
นิ
ยม เช่
น ยิ้
มแฉ่
งเป็
นการยิ้
มอย่
างร่
าเริ
งหรื
อเบิ
กบาน
ยิ้
มแต้
เป็
นการยิ้
มอย่
างเปิ
ดเผยด้
วยความยิ
นดี
หรื
อดี
ใจมาก
ยิ้
มแย้
มเป็
นการยิ้
มอย่
างชื่
นบาน ยิ้
มน้
อยยิ้
มใหญ่
เป็
นการ
ยิ้
มแล้
วยิ้
มอี
กด้
วยความดี
ใจหรื
ออิ่
มเอมหั
วใจ ยิ้
มสู้
เป็
นการ
ยิ้
มพร้
อมที่
จะสู้
กั
บอุ
ปสรรคอั
นตรายใด ๆ โดยไม่
ยอมท้
อถอย
และเชิ
งนิ
เสธ เช่
น ยิ้
มเจื่
อนหรื
อยิ้
มเฝื่
อนเป็
นการยิ้
มวางหน้
า
ไม่
สนิ
ท ยิ้
มเยาะเป็
นการยิ้
มเชิ
งเย้
ยหยั
น ยิ้
มแสยะเป็
นการ
ยิ้
มแบะปากแยกเขี้
ยวเป็
นการขู่
ขวั
ญให้
เกรงกลั
วหรื
อขู่
ว่
าจะ
ทำ
�ร้
าย ยิ้
มเหยเป็
นการยิ้
มหน้
าเบ้
หรื
อฝื
นยิ้
ม ยิ้
มแห้
งเป็
นการ
จำ
�ใจยิ้
ม เป็
นต้
น (ราชบั
ณฑิ
ตยสถาน. ๒๕๔๖: ๙๐๖-๙๐๗)
นอกจากนี้
จิ
ตแพทย์
ได้
จำ
�แนกการยิ้
มออกเป็
น ๓ แบบ ได้
แก่
(๑) ยิ้
มจริ
งใจเป็
นยิ้
มที่
เปี่
ยมล้
นด้
วยความรู้
สึ
กที่
ดี
งาม เป็
น
มิ
ตรและรู้
สึ
กอบอุ่
น (๒) ยิ้
มเสแสร้
งเป็
นยิ้
มที่
ประดิ
ษฐ์
ขึ้
น
มี
เจตนาให้
บุ
คคลอื่
นเห็
นว่
ากำ
�ลั
งรู้
สึ
กดี
และ (๓) ยิ้
มเศร้
า
เป็
นยิ้
มบำ
�บั
ดความทุ
กข์
โศกและความเจ็
บปวด (วิ
จิ
ตร
บุ
ณยะโหตระ. ๒๕๔๙: ออนไลน์
) ไม่
ว่
าเราจะยิ้
มแบบไหน
ก็
ตาม การยิ้
มไม่
ได้
ส่
งผลเสี
ย กลั
บช่
วยบรรเทาสถานการณ์
หรื
อลดอารมณ์
โมโหรุ
นแรงได้
ส่
งผลดี
ทั้
งต่
อผู้
ยิ้
มและผู้
ได้
รั
บ
รอยยิ้
มทั้
งร่
างกายและจิ
ตใจ และสร้
างเสน่
ห์
ให้
ตั
วเองได้
เป็
นอย่
างดี
ยิ้
ม
เ ป็
นสั
ญลั
กษณ์
อย่
า งหนึ่
งของคว ามสุ
ข
มี
ประโยชน์
ทั้
งในระดั
บบุ
คคล ระดั
บระหว่
างบุ
คคล
ระดั
บครอบครั
ว และ
ร ะ ดั
บ สั
ง ค ม ดั
ง นี้
(กรมสุ
ขภาพจิ
ต. ๒๕๔๖:
ออนไลน์
; ธรรมปราโมทย์
.
2553: ออนไลน์
)
๑. ระดั
บบุ
คคล
การยิ้
มมี
ผลดี
ต่
อร่
างกาย
คื
อ ทำ
�ให้
เลื
อดไปเลี้
ยง
สมองได้
ดี
สมองมี
อุ
ณหภู
มิ
ต่ำ
�ลง หั
วใจเต้
นช้
าลง
ค ว า ม ดั
น โ ล หิ
ต ล ด ล ง