วารสารวั
ฒนธรรมไทย
47
สู
่
การร ั
บรู
้
ของสั
งคมและให้
มี
การแลกเปลี
่
ยนเร ี
ยนรู
้
ในกลุ
่
มศิ
ลปิ
น
หลากหลายสาขา อี
กทั
้
งเป็
นการเปิ
ดเวที
รั
บฟั
งความคิ
ดเห็
นสาธารณะ
จากสั
งคมและหน่
วยงานที
่
เกี
่
ยวข้
อง โดยมี
ผู
้
เข้
าร่
วมสั
มมนา อาทิ
วั
ฒนธรรมจั
งหวั
ด ประธานสภาวั
ฒนธรรมจั
งหวั
ด นั
กเรี
ยน นั
กศึ
กษา
ประมาณ ๑,๐๐๐ คน โดยมี
นาย ธี
ระ สลั
กเพชร รั
ฐมนตรี
ว่
าการ
กระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธาน
ซึ
่
งท่
านรั
ฐมนตรี
ว่
าการกระทรวงวั
ฒนธรรม ได้
กล่
าวถึ
งการ
น้
อมนำหลั
กธรรมฯ มาเป็
นแนวทางในการดำเนิ
นโครงการวั
ฒนธรรม
ไทยสายใยชุ
มชนว่
า
“พระราชกรณี
ยกิ
จและพระราชจริ
ยาวั
ตรใน
พระบาทสมเด็
จพระเจ้
าอยู่
หั
วสะท้
อนให้
เห็
นถึ
งหลั
กธรรมที่
ทรง
ยึ
ดถื
อปฏิ
บั
ติ
อยู่
อย่
างเคร่
งครั
ด และต่
อเนื่
องสม่
ำเสมอ เป็
นแบบอย่
าง
ที่
ดี
ที่
ประชาชนชาวไทยสามารถเรี
ยนรู้
ได้
ตลอดเวลาไม่
ว่
า
จะเป็
นหลั
กการพึ่
งตนเองและหลั
กความเรี
ยบง่
ายและประหยั
ด
ที่
สามารถแก้
ไขปั
ญหาความยากจนของประชาชนให้
อยู่
ดี
มี
สุ
ขได้
”
สำหร ั
บกิ
จกรรมภายในงานสั
มมนาฯ นั
้
นประกอบด้
วย
การปาฐกถาพิ
เศษ เรื
่
องปรั
ชญาเศรษฐกิ
จพอเพี
ยง โดยศาสตราจารย์
นายแพทย์
เกษม วั
ฒนชั
ย องคมนตรี ซึ
่
งท่
านได้
กล่
าวสรุ
ปไว้
อย่
าง
น่าสนใจว่า
“พระบาทสมเด็
จพระเจ้
าอยู่
หั
วทรงเห็
นว่
าโลกของเรามี
การเปลี่
ยนแปลงเกิ
ดขึ้
นอยู่
ตลอดเวลา โดยเฉพาะการพั
ฒนา
เศรษฐกิ
จเพื่
อให้
ก้
าวทั
นต่
อโลกยุ
คโลกาภิ
วั
ตน์
พระองค์
จึ
งได้
พระราชทานหลั
กปรั
ชญาเศรษฐกิ
จพอเพี
ยงให้
แก่
ประชาชนชาวไทย
เพื่
อต้
องการเตื
อนสติ
ประชาชนของพระองค์
ว่
าอย่
าประมาทต่
อ
การดำเนิ
นชี
วิ
ตภายใต้
โลกยุ
คโลกาภิ
วั
ตน์
ทรงให้
ความหมาย
ของคำว่
า ความพอเพี
ยง คื
อ ความพอประมาณ ความมี
เหตุ
ผล
รวมถึ
งความจำเป็
นที่
จะต้
องมี
ระบบภู
มิ
คุ้
มกั
นในตั
วที่
ดี
พอสมควร
ดั
งนั้
น ถ้
าคนไทยยึ
ดหลั
กปรั
ชญาเศรษฐกิ
จพอเพี
ยงในการ
ดำเนิ
นชี
วิ
ตแล้
ว จะก่
อให้
เกิ
ดความสมดุ
ลและพร้
อมต่
อการรองรั
บ
การเปลี่
ยนแปลงอย่
างรวดเร็
วและกว้
างขวางทั้
งด้
านวั
ตถุ
สั
งคม
สิ่
งแวดล้
อมและวั
ฒนธรรมจากโลกภายนอกได้
เป็
นอย่
างดี
นอกจากนี้
จะขอฝากให้
กระทรวงวั
ฒนธรรมนำปรั
ชญาเศรษฐกิ
จ
พอเพี
ยงในเรื่
องความกตั
ญญู
กตเวที
ไปถ่
ายทอดให้
แก่
เด็
กและ
เยาวชนด้
วย ถ้
าหากคนไทยขาดความกตั
ญญู
สั
งคมก็
จะเกิ
ด
ปั
ญหาเด็
กถู
กทอดทิ้
งและผู้
สู
งอายุ
ก็
จะไม่
มี
ใครดู
แล”
จากนั
้
นเป็
นการเสวนาในหั
วข้
อ การสร้
างกระแสเครื
อข่
าย
ศิ
ลปิ
น เพื
่
อการเร ี
ยนรู
้
ตามรอยพระยุ
คลบาทบนพื
้
นฐานปร ั
ชญา
เศรษฐกิ
จพอเพี
ยง โดยผู
้
ร่
วมเสวนา ได้
แก่ พล.ต.อ.วสิ
ษฐ เดชกุ
ญชร
ศิ
ลปิ
นแห่
งชาติ สาขาวรรณศิ
ลป์ นางฉวี
วรรณ พั
นธุ ศิ
ลปิ
นแห่
งชาติ
สาขาศิ
ลปะการแสดง และนายอภิ
ชาติ ดำดี พิ
ธี
กร/ผู
้
ผลิ
ตรายการ/
ผู
้จัดรายการ ซึ ่งทั ้งสามท่านได้แสดงความคิดเห็นที ่เป็นแนวทางเดียวกัน
ว ่
า
“ในฐานะศิ
ลปิ
นที่
หลากหลายสาขาวิ
ชาชี
พนั้
น การนำ
หลั
กธรรมฯ เข้
ามาสอดแทรกในสาขาวิ
ชาชี
พของตนเอง เพื่
อสื่
อ
ให้
ประชาชนหรื
อชุ
มชนได้
เรี
ยนรู้
ตามหลั
กธรรมฯ นั้
น จะต้
องเริ่
มต้
น
จากตั
วของเราเองก่
อน ก่
อนที่
เราจะถ่
ายทอดให้
ใคร เราควร
เรี
ยนรู้
และยึ
ดถื
อปฏิ
บั
ติ
ตนตามหลั
กธรรมฯ ด้
วยตั
วของเราเอง
เมื่
อเราเข้
าใจอย่
างถ่
องแท้
แล้
ว เราจึ
งจะสามารถถ่
ายทอด
และชั
กชวนให้
ผู้
อื่
นได้
ปฏิ
บั
ติ
ตนตามหลั
กธรรมฯ นั้
นได้
”
สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ มุ่งหวังเป็นอย่าง
ยิ
่
งว่
าการสั
มมนาการเรี
ยนรู
้
ตามรอยพระยุ
คลบาท บนพื
้
นฐานปรั
ชญา
เศรษฐกิ
จพอเพี
ยงในวิ
ถี
ชี
วิ
ตวั
ฒนธรรมประชาธิ
ปไตย จะสามารถสร้
าง
กระแสให้
เกิ
ดการรั
บรู
้ เข้
าใจ ในเรื
่
องของการเรี
ยนรู
้
หลั
กธรรมตามรอย
พระยุ
คลบาท ไปสู
่
สาธารณชนในวงกว้
าง และเพื
่
อประโยชน์
ในการดำเนิ
นชี
วิ
ตและการทำงานทั
้
งระดั
บบุ
คคลและระดั
บ
หน่
วยงาน พร้
อมทั
้
งสร้
างความเข้
มแข็
งให้
ชุ
มชนในสั
งคมไทย
ต่อไป